การได้พบกับใครสักคน หรือการได้เสวนากับใครสักคน ผมเชื่อว่าต้องมีบุญวาสนาต่อกันแต่ชาติไหนๆแน่นอนครับ เพราะคนไทยเรา 65 ล้านคน บางคนเดินชนกันแทบตาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้จักกันได้ ดังนั้นหากเราจะได้เป็นเพื่อนกัน ได้เพื่อนคู่ครองกันได้ หาใช่แค่เพียงธรรมดาเท่านั้น เราต้องมีการสร้างมิตรไมตรีกันมาแต่ชาติไหนๆแน่นอน บางคนรู้จักกัน เห็นหน้าครั้งแรกก็จะรู้สึกถูกชะตา นั่นแสดงว่าเราต้องทำบุญร่วมกันมา แต่บางคนเจอหน้าครั้งแรก ก็รู้สึกไม่ชอบขี้หน้ากัน นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าชาติก่อนอาจจะเคยขุ่นข้องหมองใจกันมาก็เป็นได้เช่นกันครับ
การพบกันของคุณสุวรรณีกับอู ติซา ก็เช่นเดียวกัน คุณสุวรรณีเล่าให้ฟังว่า ครั้งแรกที่เจอกับนายคนนี้ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีหน้าตาฉลาดเฉลียว และมีผิวพรรณที่ดูดีมาก ไม่เหมือนคนเมียนมาเลย เพราะเขาเป็นคนที่มีผิวขาวตามเผ่าพันธ์ของเขา ที่ชาติกำเนิดเขาเป็นคนเผ่าลีซอ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในชนชาติพันธ์ที่มีความเป็นมามาจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้เขาหน้าตาจะออกจีนๆปนธิเบตนิดๆ เรียกว่าหล่อเหลาเอาการเลยละ เขาได้นำเอาพลอยเมืองก๊กมาเร่ขายที่ตลาดค้าพลอยที่อำเภอแม่สาย คุณสุวรรณีได้ไปซื้อพลอยของเขา ครั้งต่อๆมามีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาถูกพ่อค้าหลอกด้วยการนำเอาพลอยที่ไม่ได้มาตรฐานมาขายให้ เขานำมาขายต่อให้เธอ ซึ่งเธอก็บอกเขาไปว่า “ทำไมคุณถึงจะเอาพลอยปลอมมาขายให้ฉัน” ทำให้เขาตกใจมาก เพราะเขาเองก็ไม่มีความรู้จริงๆว่าเป็นพลอยไม่ได้มาตรฐาน จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็มักจะนำเอาพลอยมาให้คุณสุวรรณีดูก่อนเสมอ จนกระทั่งทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน แม้จะมีความเป็นเพื่อนก็ตาม แต่เขายังคงเคารพคุณสุวรรณีเสมือนหนึ่งเป็นพี่ใหญ่หรือเจ้านายของเขาเสมอมา ดังนั้นเมื่อคุณสุวรรณีได้รับออเดอร์หยกที่จะนำมาแกะสลักพระบรมรูปฯ เขาจึงอาสาพาเธอเข้าไปที่แหล่งขุดหยก ที่เมืองปะกัน รัฐกระฉิ่นในประเทศเมียนมาทันที และก็ไม่ผิดหวังที่สามารถค้นพบหยกตามขนาดและคุณภาพที่ต้องการ ทำให้การค้าหยกครั้งนั้น ประสบความสำเร็จด้วยดี ซึ่งการเดินทางไปครั้งนั้น ทำให้ทั้งสองได้เข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น จึงได้คบหากันในฐานะเพื่อนสนิทกันเรื่อยมา
ในช่วงของการคบหากันอยู่นั้น อุปสรรคก็เกิดขึ้นมาสู่ชีวิตของคนทั้งสองมากมาย เพราะทางคุณแม่ของคุณสุวรรณีทราบว่า ทั้งคู่มีการคบหากันอยู่ ก็คัดค้านอย่างรุนแรง เพราะแน่นอนว่าท่านคงเห็น อู ติซา เป็นชาวเมียนมา ซึ่งท่านไม่อยากให้ลูกสาวต้องตกระกำลำบาก ท่านคงมองไปในทางลบเสมอ แต่อู ติซา ก็พยายามที่จะแสดงให้ท่านเห็นว่า เขาไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก อีกประการหนึ่ง คุณพ่อของอู ติซา ก็เคยรับราชการทหารเมียนมา ที่มียศฐาบันดาศักดิ์ไม่ด้อยเลย แต่หลังจากท่านได้ลาออกจากราชการก่อนวัยเกษียณ เพื่อนฝูงท่านที่ยังคงมีบทบาทในกองทัพเมียนมา และก็ได้ช่วยเหลือให้ท่านได้รับสัมปทานเหมืองพลอยทับทิมที่เมืองสู้ และเหมืองพลอยทับทิมที่เมืองก๊กอีกด้วย ซึ่งต่อมาก็ยังเป็นกำลังหนุนหลังให้ลูกสะใภ้คนไทยคนโปรด ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของสัปทานเหมืองหยกในภายหลังด้วย ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้ยกเลิกสัปทานไปนั่นเอง
หลังจากที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันอยู่ 6 -7 ปี และได้ร่วมกันเป็นคู่หูในการเสาะแสวงหาพลอยทับทิมจากเมืองสู้และเมืองก๊ก เอาเข้ามาขายที่ตลาดค้าพลอยอำเภอแม่สาย ทำให้ทั้งคู่เริ่มมีฐานะที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ในช่วงดังกล่าวนั้น ทางฝ่ายของคุณพ่อของอู ติซา ก็เริ่มเห็นว่าพลอยทับทิมที่เมืองก๊ก เริ่มจะมีจำนวนลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ การค้าขายอย่างเดียว น่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่าการเป็นเจ้าของสัปทานเหมือง เพราะบางครั้งพลอยที่ขุดได้มาบางครั้งก็ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย ซึ่งหากได้พลอยเม็ดไม่สวยก็พอจะทำเงินได้อย่างดีทีเดียว ดังนั้นการซื้อมาขายไป น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า เลยตัดสินใจยกเลิกสัปทานไป
การขุดพลอยดิบนั้น บางท่านอาจจะไม่เข้าใจ คิดไปว่าพลอยที่ขุดได้ พลอยจะต้องมีความสวยงามแพรวพราวเลยทีเดียว จริงๆแล้วพลอยที่ขุดได้ ก่อนการเจียรนัย จะเป็นเม็ดพลอยที่ยังดิบอยู่ จะต้องมีการนำเอาพลอยดิบนั้น มาแปรรูปด้วยการเผาด้วยเตาเผาอุณหภูมิที่สูงมาก ทำให้เป็นพลอยสุกก่อน ซึ่งในการเผาพลอยนี้ ต้องมีเทคนิคและความรู้มากพอควร อีกทั้งในช่วงการเผา จะต้องมีการผสมสีเข้าไปร่วมในการเผาด้วย เนื้อพลอยที่ได้หลังการเผา ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้ได้ทุกครั้งไป บางครั้งต้องขึ้นอยู่กับฝีมือของช่างเผาด้วย หากเตาไหนเผาไม่ดี เผลอๆเตานั้นทั้งเตา ต้องสูญเสียยกเตาเลยก็เป็นได้ ดังนั้นเทคนิคของช่างเผา จึงเป็นปัจจัยในการประสบผลสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเผาได้แล้ว ยังต้องมีขั้นตอนในการเจียรนัยเข้ามาทำให้พลอยมีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย เพราะหากการเจียรนัยไม่ได้เหลี่ยมหรือไม่สวย เม็ดพลอยที่ได้อาจจะไม่ส่องแสง “สตาร์ของพลอย” หรือหากช่างเก่งๆ ก็สามารถปั้นดินให้เป็นดาวได้ ก็จะมีมูลค่าได้อย่างมากนั้นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ทางคุณพ่อของอู ติซา ถอดใจยกเลิกสัมปทาน ปล่อยให้สองหนุ่มสาวคู่รัก เดินไปบนหนทางการซื้อมา-ขายไปด้วยตนเอง ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงอีกต่อไปนั่นเอง
หน้ากระดาษหมดอีกแล้วครับ อาทิตย์หน้าผมจะมาเล่าต่อถึงการเข้าไปเป็นเจ้าของเหมืองหยกของคู่หนุ่มสาวนี้ต่อนะครับ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ