การดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น เราได้ไปดูงานอย่างเป็นทางการกันทั้งหมดสามครั้งด้วยกัน รวมทั้งมีการดูงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องใช้ในสถานบ้านพักคนวัยเกษียณที่เมืองโอซาก้า ซึ่งที่ทางประเทศญี่ปุ่นจะมีการจัดงานลักษณะนี้ค่อนข้างเยอะ แต่อุปกรณ์ต่างๆก็มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเช่นกัน สิ่งที่นำมาแสดงในช่วงที่กลุ่มเราไปร่วมดูงานนั้น เป็นช่วงเวลาเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่เรากลับได้เห็นอุปกรณ์ที่ทางประเทศไทยเรายังคิดไม่ถึงว่าจะเหมาะสมกับผู้สูงอายุในบ้านเรา จึงนับว่าเป็นบุญตาจริงๆ เลยครับ เพราะทำให้เรามีความรู้เยอะมากอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งในครั้งนั้นก็ได้รับรู้เกี่ยวกับการใช้กำไลข้อมืออีเล็คโทนิค ที่สามารถใช้กับผู้สูงอายุ ที่ต้องการพักอาศัยที่บ้านตนเอง แต่กำไลดังกล่าว จะส่งผลตรวจอัตโนมัติกลับมาให้ที่ศูนย์ควบคุมดูแลส่วนกลางของโรงพยาบาลในสังกัดของผู้ใช้บริการตลอดเวลา ซึ่งเป็นการใช้ AI มาช่วยให้สามารถทราบผลได้ทุกวันอีกด้วย นี่คือความใส่ใจและทันสมัยมากๆ
หลังจากที่ดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นหลายครั้ง กลุ่มเพื่อนๆ จึงมีความคิดที่จะไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ต่ออีก เพราะหนึ่งในกลุ่มเรา มีคุณจิรศักดิ์ หรือคุณเจ ท่านได้ไปประกอบธุรกิจที่นั่นมานาน จึงมีความคุ้นเคยกับสังคมสิงคโปร์มาก ท่านอยากให้เราไปดูงานที่นั่นด้วย เราจึงได้จัดการร่วมกลุ่มกันเดินทางไปดูกัน ด้วยการประสานงานของคุณเจและคุณกิลเบิร์ต ในวันที่เราไปเยี่ยมชมโครงการบ้านพักคนชรานั้น จำได้ว่าคุณเจได้ถือโอกาสพาพวกเราไปเยี่ยมชมร้านค้าอุปกรณ์เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ก่อน เพราะที่นั่นเขาได้เอาอุปกรณ์ที่ใช้กับบ้านพักคนชรามาจัดจำหน่ายด้วย แต่สินค้าที่นำมาจำหน่ายที่สิงคโปร์ส่วนใหญ่ที่เห็น ค่อนข้างจะหลากหลายพอสมควร เพราะที่เราเห็นในประเทศญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่สิงคโปร์ เขาจะมีแหล่งที่มาค่อนข้างจะหลากหลายประเทศ เราจะเห็นสินค้าที่ผลิตในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวัน รวมทั้งของยุโรปและอเมริกาด้วย ถ้าจะมองจากมุมมองของผม ผมจะเชื่อว่าสินค้าของประเทศญี่ปุ่น จะใช้เทคโนโลยี่ที่ล้ำสมัย ราคาจะอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าที่อื่นๆ แม้แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าที่ผลิตในยุโรปหรืออเมริกา บางอย่างก็ยังถูกกว่าที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นด้วยซ้ำไป ในขณะที่ผลิตในประเทศจีน ก็ยังถูกกว่าเยอะมาก แต่สินค้าประเภทนี้ ของจีนจะเน้นไปทางเลียนแบบสินค้าของญี่ปุ่นมากกว่าของยุโรปและอเมริกา เพียงแต่คุณภาพของสินค้าจะยังด้อยกว่าญี่ปุ่นเยอะมาก ความพิถีพิถันจะห่างชั้นกันเยอะมากครับ
พอเราไปถึงสถานบ้านพักคนชรา หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำมั้ยผมถึงไม่เรียกว่าบ้านพักผู้สูงอายุหรือบ้านพักคนวัยเกษียณ เพราะที่เราไปดูมา ประเทศสิงคโปร์เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสวัสดิการของประชาชน ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการพักอาศัย รัฐบาลจะเป็นผู้ช่วยดูแลเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นผู้ที่จะเข้าพักอาศัยหรือใช้บริการ จึงเป็นผู้ที่มีสภาพที่ชราภาพมาก อีกทั้งไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จริงๆ ดังนั้นสัดส่วนของผู้พักอาศัย เท่าที่เห็นมา จะเป็นผู้ป่วยติดเตียงเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ ส่วนคนที่ยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่พิการหรือคนที่เราเรียกว่า “คนไร้ความสามารถ”เท่านั้น ผู้สูงอายุหรือคนที่ครบถึงวัยเกษียณจะแทบไม่เห็นเลยครับ ผมจึงพูดได้เต็มปากว่า การไปดูงานครั้งนี้ คือการไปดูบ้านพักคนชราจริงๆ ครับ
ที่ประเทศสิงคโปร์การดูแลผู้เข้าพักของบ้านพักคนชรา ซึ่งสถานที่เราไปเยี่ยมชมนั้น เป็นสถานที่ที่มีที่ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ ถ้าเราเคยไปสิงคโปร์ พอเราเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง จะมีสวนอยู่ระหว่างทางด่วนเข้าเมือง บ้านพักคนชราจะอยู่ในสวนนั้น อาจจะเป็นเพราะประเทศเขามีพื้นที่น้อย และที่อยู่อาศัยมีความหนาแน่นมาก จึงไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก อาคารที่ไปเห็นมา แม้จะไม่เป็นอาคารสูงมาก เพราะเนื่องจากอยู่ในสวน แต่ก็เป็นอาคาร 5 ชั้น ภายในอาคารจะแบ่งสัดส่วนในการใช้สอยได้ดีมาก แต่ห้องพักจะเป็นห้องพักรวมเกือบทั้งหมด ภายในห้องพักของคนชรา จะเป็นห้องที่วางเตียงเรียงรายกันอยู่ค่อนข้างจะเต็ม ไม่ต่างจากบ้านพักคนชราหรือเนอสซิ่งโฮม ที่อยู่ในกรุงเทพฯเท่าไหร่เลยครับ เพียงแต่เขามีการดูแลที่ดีกว่าเราเท่านั้นเองครับ ที่นี่เขาจะมีการวางโปรแกรมการทำกิจกรรมต่างๆ ไว้อย่างดี อีกทั้งมีแพทย์พยาบาลที่ให้ความดูแลที่ดีมากๆ เท่าที่เห็นวันนั้น พยาบาลที่มาคอยต้อนรับเรา ก็เป็นพยาบาลมืออาชีพจริงๆ ในขณะที่บ้านเรา ส่วนใหญ่จะเน้นที่เป็นผู้ช่วยพยาบาลมาเป็นผู้ดูแลเสียเป็นส่วนใหญ่ และสัดส่วนพยาบาลต่อผู้พัก จะมีสัดส่วนในบ้านพักคนชราน้อยกว่าที่สิงคโปร์เยอะครับ
ภายในบ้านพักคนชราที่สิงคโปร์ เขาจะใช้อุปกรณ์เครื่องมือในการให้บริการที่ดูทันสมัยกว่าของเราในยุคนั้นเยอะมาก นี่อาจจะเป็นเพราะว่างบประมาณที่ใช้เป็นของรัฐบาลก็ว่าได้ เพราะถ้าให้เอกชนดำเนินการเอง ผมก็เชื่อว่าเอกชนคงต้องคำนึงถึงอัตราผลตอบแทนที่ได้รับเปรียบเทียบกับเม็ดเงินที่ลงทุน เพราะว่าตามที่คุณพยาบาลเล่าถึงค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บกับผู้พักนั้นต่ำมากๆ เพราะรัฐบาลเขาช่วยเหลือเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ แต่ถ้ามาคำนวณตามหลักเชิงพาณิชย์ ผมคิดว่าไม่น่าลงทุนเลย และที่นี่เขาจะเน้นเรื่องคุณภาพชีวิตของคนชรามากครับ
เท่าที่เล่ามา เชื่อว่าหลายท่านคงจะคิดว่าน่าอิจฉาประชาชนชาวสิงคโปร์ใช่มั้ยครับ อย่างไรก็ตาม ในอนาคตข้างหน้า พอประเทศไทยเราพัฒนาไปอีกสักระดับหนึ่ง ผมเชื่อว่าเราเองก็มีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ เราคงจะมีโอกาสได้เห็นการพัฒนาทางด้านนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าผมยังไม่ด่วนไปพบเง็กเซียนฮ่องเต้เสียก่อนนะครับ