จากฐานันดรที่สี่สู่เจ้าของเหมืองหยก (17)

01 พ.ย. 2564 | 01:30 น.

คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ชีวิตที่ต้องต่อสู้ของทุกคน ล้วนแล้วแต่จะต่างกันออกไป บางคนอาจจะเกิดมามีบุญวาสนา ก็ไม่ต้องดิ้นรนมาก พ่อแม่ก็ตระเตรียมไว้ให้หมดแล้ว แต่สำหรับบางคน อาจจะต้องใช้ชีวิตที่โลดโผนบากบั่น จึงจะได้มาซึ่งความสุขสบาย ผมจึงเชื่อว่าชีวิตในชาติหน้าที่เราไม่สามารถรู้ได้ อาจจะมีมีอยู่จริงหรือไม่นั้น เราอย่าไปเสี่ยงทายว่ามีจริงหรือไม่เลย เอาเป็นว่าอนุมานไว้ก่อนว่ามีจริงก็แล้วกัน ดังนั้นในชาตินี้ที่เรายังมีลมหายใจอยู่ จงมั่นสร้างบุญกุศลที่เป็นกรรมดีเข้าไว้เถอะครับ ไม่ว่าชาติหน้าจะมีหรือไม่ เราก็จะได้ความสุขใจ ซึ่งเป็นผลบุญในชาตินี้กักตุนไว้ก่อนก็พอใจแล้วครับ

ก่อนที่จะเล่าถึงชีวิตอันโลดโผนของคุณสุวรรณี ผมขออนุญาตนำเอาเกล็ดความรู้เรื่องของหินที่คล้ายหยกมาเล่าต่ออีกสักชนิดก่อนนะครับ นั่นคือหินชนิดที่สองคือพลอยเซอร์เพนทีน บางคนก็จะเรียกว่า เซอร์เพนไทร์ (Serpentine) นี่แหละครับ ซึ่งเจ้าหินชนิดนี้ส่วนใหญ่จะมีสีเขียว สีแดง สีน้ำตาล และสีลายผสมที่มีลวดลายเส้นใยคล้ายๆ งู

ซึ่งคำว่าเซอร์เพน (Serpent) แปลว่า งู จึงถูกเรียกว่า เซอร์เพนทีน(Serpentine) ซึ่งหินแร่ชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 500 องศาเซลเซียส โดยเกิดจากการรวมแร่ธาตุต่างๆ หลายชนิดเช่น Chrysotile Antigorite Lizardite เป็นต้น จากนั้นผสมกับซิลิกา แมกนีเซียม ซิลิเกตต่างๆ และน้ำ จนกระทั่งตกผลึกเป็นหินเซอร์เพนไทร์

 

ในปีค.ศ.1965 สภาแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียได้กำหนดให้ประกาศให้เซอร์เพนไทร์เป็นหินแห่งรัฐอย่างเป็นทางการครับ เซอร์เพนไทร์มีอยู่หลากหลายชนิด และหลายสีสัน ตามแต่แหล่งกำเนิดของหิน ซึ่งคนจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหยก จึงง่ายที่จะถูกนำมาใช้ในการทำเครื่องประดับ ภายใต้ชื่อซึ่งบางแห่งก็ตั้งชื่อให้เป็น “นิวเจด”(New Jade) หรือบางแห่งก็เรียกว่า “หยกเทตัน”(Teton Jade) บางแห่งก็เรียกตรงๆเลยว่า เป็นหยกปลอม(False Jade) แต่ด้วยความคล้ายหยก พ่อค้าที่เมียนมาจึงนิยมนำมาขายให้กับคนไม่รู้เสียก็เยอะครับ
 

ในความเชื่อแบบชาวตะวันตก คำว่า “งู” (Serpent) มักถูกคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นผู้เบิกทางของซาตาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า หินที่มีชื่อของงูจะเป็นแบบนั้น ตรงกันข้ามในตำนานอียิปต์ กลับใช้หินชนิดนี้ในการต่อต้านมนต์ดำ และดวงที่ไม่ดี รวมถึงใช้ในการขับไล่พิษและงูในการเดินทางไกล  
 

ในประเทศซิมบับเว เขาจะใช้หินเซอร์เพนทีนมาเป็นวัตถุตกแต่งและใช้เป็นหินประติมากร แกะสลักรูปต่างๆ เพื่อตกแต่งบ้าน ส่วนสำหรับประเทศอัสซีเรีย ช่วงต้นของช่วง 4,000 ปีก่อนคริสตกาล ถูกใช้เป็นตราประทับ และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ซาตูมัสเกอร์(Za-tu-mush-gir) เราจะเห็นว่าเซอร์เพนไทร์นั้นมีที่มาที่ไม่ธรรมดาเลยครับ
         

เรากลับมาที่เรื่องของคุณสุวรรณีกันดีกว่านะครับ หลังจากที่ผมได้รู้จักเธอมา ได้พูดคุยกันบ่อยๆ ก็พอจะมองเห็นว่าเธอก็เป็นที่สู้ชีวิตคนหนึ่งเช่นเดียวกันครับ ในช่วงที่เริ่มต้นทำการค้าเป็นกิจลักษณะ คุณพ่อของสามีก็ได้บอกให้เธอและสามีควรจะมีผู้ติดตามเธอไปด้วยสักสองสามคน เพราะหากเธอไปกันตามลำพัง โอกาสที่จะเกิดอันตรายขึ้นก็มีสูงมาก ดังนั้นเธอจึงได้คัดเอาคนในหมู่บ้านของสามีเป็นผู้ติดสอยห้อยตามไปด้วย
 

แต่ด้วยที่หมู่บ้านของสามีที่เป็นชาวลีซอหรือลีซูเป็นส่วนใหญ่ การที่จะเลือกคนที่ถูกใจไปด้วยกันนั้นค่อนข้างจะยาก เพราะนอกจากหน้าตาของชาวลีซอที่ละม้ายคล้ายคลึงกันแล้ว ชื่อเรียกก็ไม่ค่อยจะแตกต่างกันเลย ถ้าเป็นผู้ชายก็จะชื่อ อาฟู้ อาดี้ อาสึก อาติ อาคี่ อาเชน ส่วนผู้หญิงก็จะชื่อ อานา อานี อาชา อาดู้ เป็นต้น ถ้าเป็นไทยก็คงจะประมาณ เจ้าหนึ่ง เจ้าสอง เจ้าสาม อะไรประมาณนั้น ซึ่งจะจำยากมาก
 

บางครั้งเรียกชื่อที คนหันมาคือคนที่ถูกเรียกและคนชื่อเดียวกันก็หันมาตอบรับเป็นขบวนเลย สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจนเธอต้องตั้งชื่อให้ใหม่เพื่อสะดวกต่อการจดจำกันไป เป็นคนชื่ออาชา ก็เปลี่ยนเป็นเจ้าม้า คนชื่ออานี ก็เปลี่ยนเป็นชื่อนารีเป็นต้น ส่วนมีอีกคนทีเธอเลือกไปด้วย ก็มีคนที่ชื่อ “เชน” ติดตามไปด้วย ซึ่งต่อมาก็เกิดเรื่องดราม่ากับเจ้าเชนคัมแบล็คคนนี้ ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไปครับ
 

ก่อนที่จะออกเดินทางไปภูเขาเหมืองหยกที่ปะกัน สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อสามีบอกให้จดจำเอาไว้คือ การทำธุรกิจเหมืองหินหยกนั้น คือการแย่งเอาสิ่งที่ฟ้าดินประทานมาให้ ซึ่งให้มาเป็นทรัพย์สินของมวลมนุษย์ชาติ เป็นสิ่งที่ไม่ควรอาจเอื้อมมาเป็นของตนคนเดียว ดังนั้นเมื่อผลลัพธ์ที่ได้มาซึ่งทรัพย์สิน หรือจากการงอกเงยมาของการขุดมาได้ของสินในดิน จะต้องปันส่วนออกมาทำทานให้แก่คนยากจน หรือคนที่มีความลำบากกว่าเรา จึงจะเป็นผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
 

หากเราเกิดความโลภ หวังฮุบไว้แต่เพียงผู้เดียว จะไม่มีความสุขความเจริญแน่นอน สุดท้ายจะถูกรังควานจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น เพราะทรัพย์นั้นเป็นของมวลมนุษย์ทั้งมวล ไม่ใช่ของเราคนเดียว
 

สิ่งนี้เธอจดจำไว้ตลอดเวลา แม้ในช่วงแรกๆเธอจะไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่ต่อมาสิ่งที่เธอได้พบเห็นล้วนแต่เป็นความจริงปรากฎเช่นดังคำของพ่อสามีทุกประการเลยครับ อาทิตย์หน้าผมจะนำมาถ่ายทอดให้อ่านกันนะครับ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ