หลังจากที่ได้ไปเห็นเหมืองหยกและได้ไปพบกับความยากลำบากในการขุดหาก้อนหินหยกของจริงที่บนภูเขาปะกั่น ในดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตรายมาสองวัน ในวันที่สามคุณสุวรรณีก็ยังไม่ถอดใจที่จะศึกษาเรื่องของหยกอย่างต่อเนื่อง เพราะหัวใจสำคัญของการที่จะได้ซึ่งความมั่งคั่งนั้น ยังมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในนั้นอีกเยอะ
เธอจึงขอร้องให้คุณพ่อของสามีอยู่ที่นั่นต่อไปอีกสักสองสามวัน เพื่อจะได้รู้ลึกรู้จริงกับการซื้อ-ขายหยกก่อน ซึ่งคุณพ่อของสามีก็เห็นด้วยกับเธอ จึงยอมทนอยู่ต่ออีก
วันต่อมาเธอได้ไปสังเกตดูการขุดหาก้อนหินหยก ด้วยการลงไปคลุกคลีกับคนงานที่ขุดหยกเลย คราวนี้สิ่งที่เธอได้พบเห็นคือ ทุกครั้งที่คนงานที่เธอได้ไปอยู่ดูเขาขุดนั้น
เจอเข้ากับหินที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นหินหยก เพราะเขาเอาไฟฉายส่องลงไปในเนื้อหิน และได้เห็นเส้นแสงสีเขียว เขารีบเอาเก็บซ่อนไว้ในตัวอย่างรวดเร็ว โดยไม่ยอมส่งเสียงให้คนอื่นรู้
ตอนแรกเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ห่างจากคนงานคนดังกล่าวไกลนัก ก็มีคนโห่ร้องด้วยความดีใจ ที่เขาพบก้อนหินที่ใหญ่มาก น้ำหนักน่าจะเกือบๆ ตัน ที่ด้านในมีลำแสงสีเขียว พอสิ้นเสียงโห่ร้อง ก็เห็นคนงานรีบวิ่งไปที่หินก้อนนั้น
ต่างร่วมแรงร่วมใจกันช่วยยกก้อนหินหยก นำขึ้นมาไปยังศาลาพักเล็กๆ ในที่ไม่ไกลจากที่พบก้อนหินหยกนั้น ในสายตาของเธอ ซึ่งเธอมองว่าคนสักห้าหกคนก็น่าจะยกไหว แต่มองด้วยตาแล้วคนที่แห่แหนกันมาช่วยยกนั้นมากกว่ายี่สิบคน
แทบจะหาที่เดินไม่ได้ พอไปถึงศาลาก็มีพ่อค้าคนกลางหลายคนที่นั่งคอยอยู่ในศาลา ทำการตรวจสอบดูหินก้อนนั้นกัน และเริ่มที่จะเจรจากันในเรื่องของราคาหินหยกก้อนนั้นกัน ด้วยวิธีการแย่งกันเสนอราคา
ส่วนเจ้าพวกคนงานที่มาช่วยกันยกหิน ก็เฝ้าเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้นไม่ยอมหนีไปไหน จนกระทั้งปิดการขายลง คนที่ขุดได้รับเงินจากผู้ซื้อ แล้วจึงเริ่มทำการแบ่งเงินให้คนที่มาช่วยยกเหล่านั้นกันทุกคน คนละห้าพัน-หนึ่งหมื่นจ๊าด ด้วยเสียงถกเถียงกันล้งเล้งไปหมด
เธอจึงพอจะเดาได้ว่า ทำไมคนงานเหล่านั้นจึงเต็มใจที่จะช่วยกันยกก้อนหินหยกกัน เพราะทุกคนที่แค่เอามือไปช่วยกันแตะๆ ก็ได้ส่วนแบ่งนี่เอง อีกทั้งทำไมเจ้าคนงานที่ขุดได้ก้อนหินหยกก้อนเล็กๆ จึงต้องรีบเก็บซ่อนไว้ ไม่ยอมให้คนอื่นเห็น คงจะเป็นเพราะไม่อยากจะให้คนอื่นมาแตะต้องก้อนหินหยกเพื่อขอส่วนแบ่งนี่เองครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่เธอได้เห็นและเป็นประโยชน์สำหรับการค้าหยกของเธอมาก คือความแตกต่างของการซื้อ-ขายกันที่ศาลา กับการซื้อ-ขายกันที่หลุมขุด เพราะการซื้อที่หลุมขุด เธอจะสามารถซื้อได้ในราคาที่ไม่ค่อยมีคู่แข่งมากนัก ราคาก็จะถูกกว่าที่ศาลา เพราะสามารถปิดราคาขายกันตรงนั้นเลย
แต่จะเสียเงินค่าส่วนแบ่งของคนงานที่มาแตะก้อนหินหยกนี่เอง ซึ่งบางครั้งถ้าเป็นก้อนที่ไม่ใหญ่มาก หรือก้อนที่มีความสดใสในอนาคตไม่มาก ราคาของก้อนหินหยกบางครั้งยังถูกกว่าค่าส่วนแบ่งของคนงานที่มาแตะก้อนหินหยกเสียอีก แต่ถ้าเป็นก้อนใหญ่ และมีมูลค่าสูง การซื้อหน้าปากหลุมที่ขุดได้ ก็จะดีกว่าที่ซื้อในศาลาเช่นกัน
ส่วนการซื้อ-ขายกันในศาลานั้น จะมีคู่แข่งมาจากทุกสารทิศ พ่อค้าบางคนมาจากประเทศจีน คนสิงค์โปร์ คนอินเดีย คนบังคลาเทศก็มี ดังนั้นถ้าก้อนไหนที่เขาเห็นว่าความน่าจะเป็นมีสูง การซื้อ-ขายก็จะเริ่มประมูลแข่งกัน คนนั้นให้หนึ่งแสน อีกคนให้แสนสอง อีกคนให้แสนห้า ราคาจะขึ้นจนกว่าคนอื่นไม่กล้าสู้ราคาต่อไป จึงจะจบการขายได้
เหมือนประหนึ่งการประมูลราคาในตลาดประมูลเลยทีเดียว ดังนั้นทุกการซื้อ-ขาย อาจจะมีขบวนการต้มตุ๋นเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ดังนั้นจะต้องระมัดระวังอย่างดี บางครั้งพวกคนงานขุดก้อนหินหยก เขาจะรู้ว่า พ่อค้าคนนี้เป็นคนเก่าแก่ หรือพ่อค้าที่เขี้ยวลากดิน เขาจะรู้กันดีเลยครับ นี่คือประสบการณ์ล้วนๆ ครับ
ในการซื้อ-ขายกันที่นั่น แม้จะได้ก้อนหินหยกที่เป็นของจริง ไม่ใช่หินปลอม แต่ลูกล่อลูกชนของพ่อค้าคนกลาง หรือแม้แต่คนขุดเองก็ไม่เบาเลยทีเดียว เธอจึงมองว่าการค้าก้อนหินหยกนั้น เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่น่าสนใจทีเดียว
และยังมองว่าคนทั่วไปอาจจะตามเล่ห์เหลี่ยมกลโกงยากมากๆ ผมจึงได้สอบถามเธอไปว่า หน้าปากหลุมแท้ๆ ยังสามารถเอาของที่ไม่ใช่ของจริงมาขายได้ด้วยเหรอ เธอตอบว่า มีแน่นอน เพราะบางครั้งถ้าเป็นหินก้อนเล็ก สามารถพกพาติดตัวได้ ก็สามารถทำได้เหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราจะสังเกตเห็นทันหรือไม่เท่านั้น หากไม่ทันได้สังเกตเห็น โอกาสที่จะถูกหลอกลวงย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ผมจึงถามต่อว่า ก้อนหินหยกหากเราซื้อหากันในท้องตลาด เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นของจริงหรือของปลอม? เธอบอกว่าดูยากมาก เธอจึงได้เริ่มต้นเล่าถึงคุณสมบัติของหินหยก และหินที่คล้ายหินหยก อีกทั้งหยกปลอมว่าเป็นอย่างไร อาทิตย์หน้าผมจะนำมาเล่าต่อให้อ่านนะครับ หวังว่าคงจะไม่ไปสะดุดขาเจ้าพ่อ-เจ้าแม่คนไหนเข้าให้นะครับ เพราะเดี๋ยวนี้ลูกปืนราคาถูกมาก หัวผมยังไม่ว่างจะไปรองรับลูกปืนใครนะครับ