*** บทเรียนการลงทุนสมัยนี้… ถ้าใครได้หุ้น IPO ในราคาจองซื้อ สิ่งที่ต้องทำอย่างแรก คือ การขายเปิดแบบไม่ต้องสนใจว่าเปิดที่ราคาเท่าไหร่ และไม่ต้องคิดว่าราคาหุ้นจะไปต่อได้อีกหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกหุ้น IPO ที่มี “เจ้ามือ” หรือ “Market Maker” หรือ กลุ่มคนทำราคาหุ้นประเภทที่ชอบ “ตีหัวเข้าบ้าน”
โดยเท่าที่รู้มาบอกได้เลยว่า คนพวกนี้ทำได้ทุกอย่าง!! ไม่เว้นแม้แต่การที่จะหักหลังพรรคพวกกันเองเพื่อเงิน พวกนี้เปรียบเสมือน “ไข่มุกดำเก๊” ที่ปลอมตัวใส่สูทสร้างภาพลักษณ์กำมะลอ โดยล่าสุดคนกลุ่มนี้ก็ได้รับการอุ้มชูอีกครั้งจาก บริษัทหลักทรัพย์ฯ แห่งหนึ่ง…
เอาแค่หุ้นโรงงานทำสี ที่พึ่งจะเข้าตลาดไปเมื่อไม่นานมานี้ เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เข้าไปคบหาและใช้บริการจนถูก “MM ไข่มุกดำเก๊” ที่ทำตัวเป็นนักบุญขายฝัน ว่าจะดันราคาขึ้นไปจนถึงดวงดาว แต่สุดท้ายด้วยอิทธิฤทธิ์ของ MM ฉาวรายนี้ ทำได้แค่ส่งให้โรงงานทำสี กลายเป็น “ดาวตก” ที่นักลงทุนสาปส่งกันทั้งตลาดฯ
เจ๊ก็ไม่รู้ว่าทั้งที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ พร้อมคดีฉ้อโกงอีกบาน... ทำไม!! ยังมีคนกล้าเรียกใช้บริการกันอยู่อีกนะ เอ…คุณพี่นักบุญเจ้าขา ว่าแต่ว่าเรื่องเงิน 130-140 ล้านบาท ที่ศาลตัดสินไปแล้วอ่ะ คุณพี่จะยอมคืนเงินดีๆ หรือจะยอมติดคุก กันน๊า อิอิอิ
เกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไม ??? MM ไข่มุกดำเก๊ผู้อื้ฉาว จึงมีคนเชื่อ เข้าไปร่วมวงสังฆกรรมด้วย มีเหตุผลเดียวคือ ผลประโยชน์ร่วมกัน นำมาซึ่งความโลภละโมบ มีคนหลงเชื่อ จนถูกตุ๋นเข้าไปรับหุ้นสีเลือด เพราะลมปากจะทำหุ้นปิดซิลลิ่ง บางคนเสียหายนับสิบล้านบาท แต่เมื่อถัวกับหุ้นขนส่งที่ MM ฉาวบอกให้เล่น หักลบกลบหนี้กับความเสียหายหุ้นสีตราบาป แล้ว พอได้อยู่ เลยไม่ออกมาโวยวาย เป็นอีกตัวอย่างที่เจ๊เมาธ์ ชี้ให้เห็นถึงความโลภ ที่พร้อมจะสร้างความเสียหาย บรรลัย ได้
ส่วนอีกวิธีที่สร้างความรวย วิธีหาเงินของคนรวย คือ การยกบิ๊กล็อตหุ้นจากเจ้าของ เหมือนที่เซียนคนหนึ่ง ยกบิ๊กล็อตหุ้นเทคโนโลยี น้องใหม่ เข้าตลาดหุ้นสดๆ ร้อนๆ ไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้น 10 บาท เปิด 26 บาท… กำไรทันทีเท่าตัว หรือ กว่า 100 % ผู้ที่คนทั่วไปเรียกว่าเซียน หาเงินด้วยวิธียกหุ้นก้อนใหญ่ ก็รวยได้ในพริบตาเช่นกัน
*** ดูท่าทางแล้ว DELTA น่าจะกลับไปสู่ยุครุ่งเรือง แบบที่ราคาหุ้นเคยยืนอยู่เหนือ 5-600 บาท/หุ้น คงจะเป็นไปได้ยากซะแล้ว เพราะนอกจากความหวาดระแวงของนักลงทุนที่กังวลว่า เกณฑ์การคำนวณดัชนีหุ้นแบบใหม่อาจจะทำให้ DELTA อาจจะต้องหลุดออกไปจากดัชนี SET50 SET100 ก็ยังมีเรื่องที่สารพัดโบรกเกอร์พาเลทออกมาซ้ำเติมว่าราคาหุ้นของ DELTA วิ่งมาไกลเกินกว่าราคาหุ้นพื้นฐานที่ควรจะเป็น ส่วนที่ว่าเกินกว่าพื้นฐานอย่างไรเจ๊เมาธ์คงไม่ต้องเอามาสาธยายแล้วนะคะ เอาเป็นว่าที่วงแตก...ป่วนเป็นผึ้งแตกรังในตอนนี้ก็เป็นพราะหนีตายกันหละเจ้าค่ะ
*** เมื่อการระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้บริษัทแม่อย่าง STA ซึ่งทำธุรกิจขายยางพาราและบริษัทลูกอย่าง STGT ที่ซื้อยางพารามาต่อยอดด้วยการผลิตและขายถุงมือยางทางการแพทย์เป็นหุ้น ที่ได้รับอานิสงส์จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มากที่สุดของตลาดหุ้นไทย ซึ่งเมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้ง STA และ STGT ก็เป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบในทางลบได้เช่นเดียวกัน
ถึงตอนนี้สถานการณ์โควิดเริ่มดีขึ้น ทำให้มีการประเมินกันว่ารายได้และกำไรจะปรับลงแรงในไตรมาสที่ 3/64 แต่อย่างไรก็ตาม STA และ STGT ก็จะสามารถรักษาสภาวะแบบนี้ไปได้จนถึงครึ่งแรกของปี 65 ซึ่งหมายความว่ารายได้และกำไรของทั้งคู่จะทรงตัวในระดับนี้ไปได้อีกอย่างน้อย 6 เดือนเช่นกัน เจ๊เมาธ์แนะนำว่าหากจะลงทุนใน STA หรือ STGT ก็ต้องหาจังหวะย่อตัวให้ได้ แต่ถ้าร้อนหรือคันมากๆ ก็แบ่งไม้ซื้อไปก่อนใด้เช่นกันนะคะ เจ๊มองว่าหุ้นคู่นี้ยังมีแก๊ปให้เล่นได้อีกค่ะ
*** ดูเหมือนราคาหุ้น CBG จะกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ส่วนใครจะบอกว่าที่กลับตัวรอบนี้ เป็นเพราะการกลับตัวทางเทคนิค หรือ จะเป็นเรื่องของปั่นราคามันก็พูดกันไปได้ทั้งนั้น แต่เรื่องที่แน่นอนที่สุดคือ มีนักวิเคราะห์จากหลายสำนักให้ความเห็นตรงกันว่า ไตรมาสนี้ทั้งรายได้และกำไรของ CBG น่าจะร่วงลงไปเยอะพอสมควร แต่โดยส่วนตัวที่เจ๊เมาธ์มอง...เจ๊มองว่ากำไรที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่ราวๆ 750 ล้านบาท ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ และอาจจะเรียกว่ายังอยู่ในระดับที่ดีซะด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะถ้าหากมองกลับไปที่ไตรมาสที่ 1/64 ซึ่งมีกำไรออกมาเพียงแค่ 700 ล้านบาท ตอนนั้นราคาหุ้นก็อยู่ในระดับราคาเดียวกันนี้ ฉะนั้นอย่าได้แปลกใจที่หลังการแจ้งผลการดำเนินงาน 3/64 ราคาหุ้นของ CBG อาจจะขยับอีกครั้ง ของแบบนี้ถ้าเคลียร์ใจได้ว่ามีโอกาสโตต่อก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรนะคะ...แนะนำว่าจับตาดูให้ดีเลยค่ะ
*** หุ้นทุกตัวที่ VGI เข้าไปลงทุนไม่จำเป็นที่ต้องแรง...แล้วก็ไม่ใช่หุ้นที่ GULF เข้าไปลงทุนจะวิ่งทุกตัวด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น หุ้นเคยเก่งอย่าง KEX ที่แม้ว่าจะมีนักวิเคราะห์จากบางสำนักบอกว่าไตรมาส 3/64 รายได้ของ KEX อาจจะโตขึ้นถึง 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่หากมองลึกลงไปจะเห็นว่าต้นทุนการขยายธุรกิจรวมถึงต้นทุนหลักที่มาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทำให้รายได้ 2 เท่าที่ว่านั้นช่วยได้แค่พยุงตัวให้ให้รอดไปได้วันๆ เพียงเท่านั้นเอง และด้วยลักษณะธุรกิจซึ่งมีการแข่งขันสูงทำให้ต้องยอมรับว่าถึงวันนี้ KEX ไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่งเช่นที่เคยเป็น ดังนั้นจึงต้องแปลกใจถ้าราคาหุ้นของ KEX จะล้มลุกคลุกคลาน หรืออาจจะมีแต่อาการที่เป็นได้แค่ทรงกับทรุดแบบนี้ไปอีกพักใหญ่ๆ เอาไว้รอจนกว่าจะมีจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจถึงตอนนั้นค่อยกลับมาสนใจ KEX อีกครั้งก็ยังได้นะคะ ช้านิดๆ แต่ก็อาจจะได้ของถูกเช่นกันเจ้าค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,730 วันที่ 11 - 13 พฤศจิกายน 2564