หนุ่มศต..ซุกปีกใคร?

23 พ.ย. 2564 | 23:00 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By...เจ๊เมาธ์

*** มหากาพย์ของหนุ่มร่างโต ชื่อย่อ ศต. ยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลังจากสืบลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็พบว่า หนุ่มคนนี้เขาชอบเดินทางระหว่าง กรุงเทพ-หัวหิน-ภูเก็ต ชอบนัดประชุมโรงแรมห้าดาวย่านราชดำริ 
 

แต่จริงๆ แล้ว HE ก็อาศัยอยู่ที่บ้านของพ่อกับแม่ และก็เป็นที่น่าสงสัยว่า แท้จริงแล้วพ่อกับแม่ของ HE  มีส่วนร่วมรู้เห็นเกี่ยวกับกองทุนที่ HE อุปโลกน์ขึ้นมาด้วยหรือเปล่านะ

จากข้อมูลที่สืบทราบมา ยังพบว่ามีผู้เสียหายเป็นนักลงทุนชาวต่างชาติ มักถูกหนุ่มรายนี้ อ้างว่ามีตำแหน่งใหญ่โต ไม่ว่าจะเป็น กรรมการผู้จัดการคนใหม่ของ B...  g, ผู้จัดการกองทุนของเศรษฐี สมาชิกพรรคการเมือง, ลูกรักของ รมต., เจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ Tr, Glo และ D, เจ้าของ Prime street, ที่ปรึกษาของธนาคารใหญ่ใส่ใจเทคโนโลยี 
 

โอ้ว แม่เจ้าค่ะ !!! ไม่เท่านี้ HE ยังคุยโวในแวดวงไฮโซ บอกว่าตัวเองเป็นสายเลือดนักรบเจงกิสข่าน อดีตจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิมองโกล อีกด้วย อุ้ยตายคุณพระ เดี๊ยนทำความเคารพแทบไม่ทัน

หลายต่อหลายครั้ง ที่หนุ่มร่างโต ศต. คนนี้ หลอกเงินจากผู้เสียหายได้มากมาย โดยอวดอ้างสารพัดตำแหน่งหน้าที่การงานที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งยังไปหลอกใช้คอนเนคชั่นของบุคคลที่สาม ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ โดยสัญญาว่าจะให้ค่าคอมมิชชั่น จำนวนมหาศาลให้เป็นค่าตอบแทน แต่พอจบดีลแล้วก็หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ค่าคอมฯ ที่เคยสัญญาไว้ไม่มีจริง มิหนำซ้ำหนักไปกว่านั้น นักลงทุนที่โดนหนุ่มร่างโตคนนี้หลอกให้ไปลงทุนกับกองทุนของ HE  ก็ไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ กลับมาเลย ทุกอย่างกลายเป็นศูนย์
 

ไม่เฉพาะนักลงทุนในประเทศเท่านั้นที่โดน HE ตุ๋น เพราะหนุ่มคนนี้เขาใช้ทักษะความสามารถพิเศษที่พูดได้หลายภาษา พูดทิพย์ ไปหลอกตุ๋นนักลงทุนจากต่างประเทศได้อีกหลายรายเลยละคู้ณณ..
 

ข่าวล่ามาแรงพบว่า ตอนนี้หนุ่มร่างโต “ศต.” คนนี้กำลังเข้าไปเกี่ยวพันกับธุรกิจกัญชง กัญชา ก็ไม่รู้ว่า HE แพลนที่จะหลอกเหยื่อที่เชื่อคำพูดของ HE ว่าอะไรอีก แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้มีเหยื่อมากกว่า 20 ราย ที่ร่วมปรึกษาโดนหนุ่มคนนี้เป่าหู ใช้คำพูดหว่านล้อมต่างๆ นานา เพื่อให้เหยื่อรายใหม่ตายใจ และสุดท้ายก็กลายเป็น “เหยื่อ” ของ HE อีกเหมือนเดิม แต่คำถามที่น่าสนใจมากกว่านั้น
 

หนุ่มคนนี้ไปซุกอยู่ที่ไหนกับใคร ???? 


***  TRUE + DTAC เตี้ยอุ้มค่อม? การจะพูดถึงเรื่องการควบรวมกิจของ TRUE กับ DTAC ดูเหมือนมันจะธรรมดาและไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์จะเล่าเรื่องเก่าของ TRUE ให้ฟังกันดีกว่าจุดเริ่มต้นของ TRUE มาจากการที่ CP ในนามของเทเลคอม เอเชีย (TA) ได้ตัดสินใจซื้อกิจการของ บริษัท ไวร์เลส คอมมิวนิเคชั่นส์ เซอร์วิส หรือ WCS ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 พร้อมทั้งได้เลือก Orange SA ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลูกครึ่งอังกฤษ-ฝรั่งเศส มาเป็นพันธมิตรในการเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่รายที่ 3 ของประเทศไทย โดยการจัดตั้ง TA Orange เพื่อให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือภายใต้แบรนด์ Orange 
   

อย่างไรก็ตาม Orange SA ก็อยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับทาง CP ได้ไม่นาน สุดท้ายทาง Orange SA ก็ได้ตัดสินใจถอยให้กับทาง CP ได้เข้ามาดำเนินกิจการแต่เพียงรายเดียวด้วยการขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 39%หรือ 819 ล้านหุ้น ในราคา 1 บาท ให้ บมจ.เทเลคอมเอเชีย (TA) (ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแบรนด์ TRUE ในปัจจุบัน) โดยทาง Orange SA เหลือหุ้นเอาไว้เพียง 10% หรือ 210 ล้านหุ้น 2,100 ล้านบาท (ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว) โดยมีเหตุผลแบบงงๆ ว่า “ไม่อยากทำธุรกิจนอกยุโรป” 


แต่หากเทียบกับเงินลงทุนจำนวน 2.2 หมื่นล้านบาทตอนแรก เท่ากับว่า Orange เจ็บตัวและขาดทุนยับเยินเป็นเงินถึง 2 หมื่นล้านบาท และต่อมา TRUE ก็ได้ตัดสินใจดึงเอา China Mobile เข้ามาถือหุ้นใน TRUE ประมาณ 18% ตั้งแต่ปี 2557 โดยในตอนนั้นคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท นัยว่าเพื่อช่วยปรับปรุงโครงข่าย ความรู้ด้านเทคโนโลยี กลยุทธ์ในการทำตลาดต่างๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยี 5G เข้ามา แต่จนแล้วจนรอด หลายปีผ่านไป...เงินลงทุน 3 หมื่นล้านบาทที่ว่าก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะงอกเงยเป็นดอกเป็นผลอย่างที่เคย China Mobile เคยวาดฝันเอาไว้เลยสักนิด 
 

ล่าสุด การควบรวมระหว่าง TRUE กับ DTAC ในมุมมองหนึ่งก็จะทำให้ผู้เล่นในตลาดมือถือลดลงจาก 3 รายเหลือเพียงแค่ 2 ราย คือ TRUE (TRUE+DTAC) และทาง AIS (ADVANC) ซึ่งจะทำให้อนาคตในการแข่งขันกันทางธุรกิจมีน้อยลงในแทบทุกเรื่อง แต่ถ้าหากมองกับไปในสิ่งที่ TRUE กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน เจ๊เมาธ์ก็ไม่แน่ใจเลยจริงๆ ว่าการควบรวมกันของ TRUE กับ DTAC จะกลายเป็นภาวะ “เตี้ยอุ้มค่อม” หรือไม่ 


ที่แน่ๆ คือ TRUE จับมือกับใคร...ฝ่ายตรงกันข้ามต้องมีอันเจ็บตัวไปแทบทุกราย หลังจากนี้เราก็คงจะได้มาดูกันว่า DTAC (TELENOR) จะกลายเป็นรายใหม่ที่อาจจะต้องมาเจ็บตัวหรือ “ตกม้าตาย” แบบที่ทาง Orange และ China Mobile เคยโดนหรือเปล่านะ เรามาตามดูด้วยกันค่ะ
  

*** ในบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารใหญ่ทั้งหมด ดูเหมือนว่าราคาหุ้นของ SCB จะปรับขึ้นมากกว่าใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อที่ว่าการเปิดตัว SCBX ทำให้ราคาหุ้นของ SCB ถูกดันราคาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด เนื่องจาก SCBX ถูกมองว่าจะนำพาให้ SCB ก้าวไปสู่สิ่งที่เป็นมากกว่า “ธนาคาร” โดยมีพันธกิจหลักในการบุกตลาดโลก การก้าวไปสู่โลกของ “ฟินเทค” ด้วยการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ออกเป็น 15 บริษัท มีการทุ่มเงินกว่า 1.75 หมื่นล้านในการซื้อหุ้นของ Bitkub ซึ่งด้วยความเชื่อมั่นนี้เองทำให้จากต้นปีจนถึงราคาปัจจุบัน SCB ปรับราคาหุ้นขึ้นมาแล้วมากกว่า 70% 
 

อย่างไรก็ตาม...เจ๊เมาธ์ยังเห็นว่าอนาคตของ SCB ที่จะมากับ SCBX อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึง 2 ปีเพื่อที่จะได้เห็นผลการดำเนินงานเป็นรูปธรรม ดังนั้นไม่ว่าจะชอบแค่ไหน อาจต้องเผื่อใจเอาไว้บ้าง ไม่ต้องคาดหวังมาก...เอาแค่ไปได้เรื่อยๆ ก็น่าจะได้ค่ะ
 

ไม่ได้มีแค่หุ้น IPO เพียงเท่านั้นที่ก๊วน “ไข่มุกดำเก๊” เข้าไปสร้างวีระเวร...วีระกรรม จนทำให้หุ้นน้องใหม่ต้องโดนด่าโดนสาปจากนักลงทุนรายย่อยหลายราย ล่าสุดเจ้ได้ข่าวมาว่าก๊วน “ไข่มุกดำเก๊” แอบเข้าไปลากราคาหุ้นที่อยู่ในตลาดฯ อีกหลายตัวด้วยนะคะ เด่นที่สุดตอนนี้ก็เป็นหุ้นถ่านหินตัวเล็กสเปคแรงอย่าง TCC ซึ่งถูกลากราคาขึ้นมาเกือบๆ 2 เท่าในเวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆ เจ๊เมาธ์ บอกเลยว่าถ้านับโดยพื้นฐานของหุ้นตัวนี้แล้วไม่ว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีระดับไหน...ถ้าไม่มีคนทำ มันก็ยากมากที่ราคาหุ้นจะขยับขึ้นมาไกลได้ขนาดนี้ และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพียงหุ้นตัวแม่เท่านั้นที่ถูกลากราคา หุ้นลูกของ TCC อย่าง TCC-W3, W4 และ W5 ก็ถูกนำเอามาเล่นมาลากไม่ต่างกันนะคะ ไม่อยากจะพูดมาก...แค่อยากจะบอกว่าระวังนะคะ ก๊วนนี้ลากราคาโหดๆ เค้าก็ตบได้แบบโหดๆ ได้เหมือนกันเจ้าค่ะ
 

หุ้นกลับมีแต่เดินสวนทางกับผลการดำเนินงาน แล้วถ้าหากว่าในอนาคตผลการดำเนินงานดีขึ้นไปมากกว่านี้แล้วราคาหุ้นจะยังอยู่แค่นี้เหมือนเดิมหรือเปล่าค่ะ ใครที่ลงทุนเค้าก็หวังว่าราคาหุ้นมันจะขยับหรือไม่ก็ได้ปันผลกันทั้งนั้น เอาเป็นว่าผลงานดี..แต่ไม่มีอะไร มันก็ไม่ไหวเหมือนกันค่ะ 


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,734 วันที่ 25 - 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564