SABUY ทำอะไรก็สบายๆ

08 ก.พ. 2565 | 22:30 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.พ. 2565 | 19:20 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By...เจ๊เมาธ์


*** ไม่จำต้องคิดซับซ้อนก็รู้ว่าพี่ใหญ่สหรัฐอเมริกา และชาติมหาอำนาจของยุโรป ในนามของนาโต้กำลังเล่นเกมกดดันรัสเซีย เพราะการขยายเขตอิทธิพลเข้าไปถึงยูเครน ซึ่งติดกับชายแดนของรัสเซียโดยตรง มันเป็นเรื่องที่รัสเซียไม่อาจยอมรับได้ ซึ่งเมื่อรัสเซียไม่ยอม...แต่ทางสหรัฐอเมริกาและมหาอำนาจในยุโรปกลับแสดงท่าที่ว่าจะเดินหน้าต่อ การเบ่งกล้ามเพื่อแสดงกำลังจึงเป็นอีกหนึ่งในขั้นตอนที่ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
 

แต่ประเด็นคือ เมื่อเบ่งกล้ามโชว์พลังแล้วจะมีการปะทะกันเกิดขึ้นจริงหรือไม่???
 

อย่าลืมว่าเมื่อ 4 ปีก่อนในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เคยทำท่าขึงขังเช่นนี้กับประเทศเกาหลีเหนือมาแล้ว แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ถ้าหากเทียบกันแล้ว ศักยภาพของเกาหลีเหนือในการตอบโต้การโจมตีของสหรัฐ ไม่สามารถเทียบกันได้กับศักยภาพการตอบโต้ของรัสเซียเลย ดังนั้น สงครามระหว่างสหรัฐและรัสเซีย จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง
 

คำถามจึงมีว่า..ถ้าหากจะไม่มีสงครามเกิดขึ้นจริง แล้วท่าทีขึงขังที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐและรัสเซียทำไปเพื่ออะไร??

 

ส่วนตัวของเจ๊เมาธ์เอง...เจ๊มองว่า สงครามรอบนี้ไม่น่าจะเกิด เพราะอย่าลืมว่าตอนนี้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อทำให้คะแนนความนิยมในตัวประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส กำลังอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุด ซึ่งยังไม่แน่ว่าการแก้เกมด้วยการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จะสามารถหยุดยั้งภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปีนี้ได้หรือไม่ ขณะเดียวกันในช่วงปลายปี 2022 นี้ ก็จะมีการเลือกตั้งกลางเทอมทั้งหมด 435 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกา มีการเลือกตั้ง 34 ที่นั่งจาก 100 ที่นั่งในวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา และเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ รวมถึงการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นอื่นๆ อีกมากมาย
 

หมายความว่า หาก ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สามารถใช้กลยุทธ์ใดก็ตามดึงคะแนนนิยมกลับมาได้ ก็จะทำให้การบริหารประเทศในช่วงเวลาที่เหลือเป็นไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งกลยุทธ์การสร้างกระแสสงครามก็เป็นอีกหนึ่งในเกมกลยุทธ์ที่สหรัฐอเมริกาชอบใช่อยู่บ่อยๆ
 

เช่นเดียวกัน...ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับสูงขึ้นมากที่สุดในรอบ 8 ปี ซึ่งหากมองไปที่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่นอกจากกลุ่มโอเปคแล้ว ก็จะเห็นว่าสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย คือประเทศที่ได้อานิสงส์ตัวจริง เพราะต่างก็เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่นอกกลุ่มโอเปคด้วยกันทั้งสองประเทศนั่นเอง
 

เจ๊เมาธ์ก็แชร์ในสิ่งที่เจ๊คิดนะคะ คิดเผื่อเอาไว้เพื่อรับมือภาวะเศรษฐกิจที่กำลังผันผวนเจ้าค่ะ

*** จังหวะนี้ PTTEP กลายเป็นบริษัทที่น่าสนใจมาก เพราะยิ่งสถานการณ์ความตึงเครียดที่ชายแดนรัสเซียกับยูเครนมีมากขึ้นเท่าใด...ราคาน้ำดิบในตลาดโลกก็ยิ่งปรับราคาสูงตามขึ้นไปเป็นเงาตามตัว และยิ่งเมื่อน้ำมันดิบมีราคาสูงเท่าไหร่ PTTEP ในฐานะของผู้ผลิตและขายน้ำมันดิบ ก็ควรที่จะมีรายได้และกำไรมากขึ้นไปด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบจะส่งผลโดยตรงกับผลการดำเนินงาน 1/65 ซึ่งจะประกาศออกมาในช่วงเดือนพฤษภาคม หรืออีก 3 เดือนข้างหน้าโน้นเลย  
 

ดังนั้น สำหรับเจ๊เมาธ์แล้วจังหวะนี้การสะสมหุ้นอย่าง PTTEP จึงน่าสนใจมากนะคะ ถ้าไม่เกิดสงครามมันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่มันก็ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้น ตอนนี้ก็บอกได้แค่ว่าหุ้นน้ำมันอย่าง PTTEP น่าสนใจดีมากค่ะ

 

*** ธุรกิจสุดฮิตอย่างการทำเหมืองบิทคอยน์ดันส่งให้ราคาหุ้นของ JTS ขยับจากราคาไม่ถึง 2 บาท ขึ้นมาเป็นราคาเกือบๆ 240 บาทมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจนักที่ ZIGA จะขยับราคาขึ้นมาอย่างน่าสนใจหลังจาก บริษัท ซิก้า เอฟซี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้สั่งซื้อเครื่องขุดบิทคอยน์เพิ่ม 200 เครื่อง ทำให้ ซิก้า เอฟซี มีเครื่องขุดบิทคอยน์รวมเป็น 400 เครื่องจากเดิมที่มีอยู่แล้ว 200 เครื่อง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องเข้าใจว่า การทำธุรกิจเกี่ยวกับคริปโทฯ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้...เป็นทรัพย์สินไม่มีตัวตนและไม่ได้สร้างรายได้ด้วยราคาทุน ดังนั้นธุรกิจนี้จึงพยากรณ์ได้ยาก ประมาณว่าถ้าทำได้จริงก็รวยจริง...แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องเตรียมรับผลกระทบที่จะตามมาด้วยนั่นเองเจ้าค่ะ 
 

*** ด้วยสตอรี่ของดีลธุรกิจที่หลากหลายส่งผลให้ SABUY เป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่ขยับขึ้นมาจากราคาต่ำกว่า 2 บาทไปจนถึงจุดสูงสุดที่ 38 บาท ในเวลาแค่ปีเดียว ก็ไม่รู้ว่าดีลของธุรกิจที่ปล่อยออกมาแทบทุกสัปดาห์ที่ว่านี้ เป็นการปล่อยออกมาให้นักลงทุนงงจนจับทางไม่ได้ว่า ธุรกิจจริงที่สร้างเงินและเป็นอนาคตของบริษัท คืออะไรแน่ คือตอนนี้ดีลมันเยอะมาก...มากจนเจ๊เมาธ์งงไปหมดแล้วว่าอันไหนคือธุรกิจที่อยู่ในขั้นตอนการศึกษา และอันไหนคือ ธุรกิจที่สามารถทำได้จริง ที่พูดไปทั้งหมดนี้ก็ไม่มีอะไร...ก็แค่อยากจะชวนให้มาตรวจสอบดูว่าดีลการลงทุนที่ประกาศออกมาเยอะแยะเหล่านี้ มันจะทำให้บริษัทมีรายได้ หรือกำไรมากขึ้นแค่ไหนกัน แล้วเจ๊ก็อยากจะรู้ถ้ามีแต่ประกาศดีล...แต่ทำธุรกิจไม่ได้จริง จะมีหน่วยงานไหนออกมารับผิดชอบหรือไม่ก็แค่นั้นเองเจ้าค่ะ
 

*** หลังจากที่ CBG ร่วงลงไปหลุด 100 บาท ราคาหุ้นก็สามารถเด้งกลับคืนมาได้ แน่นอนว่าเรื่องหนึ่งอาจจะเป็นแพราะการขึ้นลงตามกระแสตลาด หรือ อาจจะเป็นเกมการชิงจังหวะเพื่อสลัดแมงเม่าก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่หากมองไปที่ผลการดำเนินงาน ก็จะเห็นว่าผลงานของ CBG ไม่ได้แย่หรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญเลย
 

ส่วนเรื่องการชะลอตัวของรายได้ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามซีซั่นของการดำเนินธุรกิจเท่านั้นเอง และสุดท้ายคือ แนวโน้มทิศทางธุรกิจของ CBG ยังดูสดใสและไปได้ในระยะยาว ดังนั้นในมุมมองของเจ๊เมาธ์เองเจ๊มองว่า นี่คือจังหวะของการสลัดเม่าเป็นหลัก
 

มาดูกัน...ปีนี้อย่ากระพริบตานะคะ CBG อาจจะกลับมาแรงอีกครั้งก็ได้ค่ะ
 


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,756 วันที่ 10 - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565