ครอบครัว 0.0 (สังคมวิ่งราวสัตว์)
ยุคโน้นเขาไม่ได้เลือกแต่เฉพาะสัตว์ สาวเชฟบ๊ะเดินผ่านมาหัวหน้าถ้ำแกคว้าไม้ตะลุมพุกทุบกบาลสลบลืมตาขึ้นมาอีกที เธอก็พบหางจิ้งจกกระดุกกระดิกขลุกขลิกอยู่ในซอกฟันซี่เบ้อเร่อโผล่มาจากรอยยิ้ม (ฮา) เขามี “คำกลม” คือ “คำที่กลิ้งไปกลิ้งมา” ว่า อะไรที่อยู่ข้างหน้าเป็นของกู อะไรที่ซุกอยู่ข้างหลังแตะเอ็งตาย (ฮา)
สามีภรรยายุคโน้น น่าจะเป็นซีนครอบครัวตบจูบขนานแท้ ครอบครัวอยู่กันไปตามประสา นอกจากหมอผีประจำเผ่าแล้ว คงจะหาหมอดูเอามาทำยาไม่ได้แน่ เขาเมคเสนส์เป๊ะมาก ช่วงนั้นทำนายไปก็คงจะได้อะไรดี
ภรรยาในยุคนั้นคงจะพูดน้อยกว่าสามี ใครเบื่อภรรยาจะลองเข้าเครื่องย้อนเวลาไปอยู่ในถ้ำ จะได้บรรลุว่าผู้หญิงสมัยไหนน่าพิศมัยกว่ากัน ห่วงนิดหนึ่งว่า ย้อนภพกลับแล้วปรากฏว่า ถ้าหากภรรยาคนโน้นกับคนปัจจุบันคืนคนเดียวกัน จะมายื่นโนติสให้ผมจ่ายค่าเซ็งก็ตัวใครตัวมัน (ฮา)
ครอบครัว 1.0 (สังคมคลุมถุงเวนัยสัตว์)
ยุคนั้นรู้จักปั้นแต่งกิจกรรม จัดฉากอำพราง สร้างกับดัก รู้จักอ่อยเหยื่อ ทาส กับ โสเภณี มีหลักฐานให้เห็นเป็นพยานว่า ครอบครัวในช่วงนั้นยังคงด้อยโอกาส และปราศจากสิทธิหลายด้าน เป็นห้วงเวลาที่ นายหัว สามารถที่จะช่วงชิง เกลือ หรือ ที่ดิน จนกระทั่งคืบหน้ามาเป็น เบี้ย คนสามัญประจำถิ่น โดนกักอยู่ใน “สวนเวไนยสัตว์” ตำราจะเรียนก็ยังหาได้ยาก คิดจะสู้ก็เป็นได้แค่มวยวัด ต้องเดากันเอาเองว่าเขามีความสุขในครัวเรือนกี่มากน้อย
ครอบครัว 2.0 (สังคมสวนไร่นา)
สวน ไร่ นา ไม่ใช่ ป่าช้า ทำไปทำมาทำไม ธุรกิจสวนไร่นาถึงได้มีอาการ ผีเข้าผีออก ยังบำบัดและบำรุงกระดูกสันหลังกันไม่ถึงไหน ผมจำได้ว่า วีระ มุสิกพงศ์ เคยปราศรัยว่ามี ส.ส. อุบอิบหยิบงบประมาณแผ่นดินที่จะเอาไว้ซื้อจอบให้ชาวนาไปใส่กระเป๋าตัวเอง ทำให้ชาวนาในสมัยนั้นไม่มีจอบจะขุดพลิกหน้าดินเพื่อปรับสภาพ ฮิวมัส และ การหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว หรือ การปักต้นกล้า
เสียดายที่ ส.ส. กลุ่มนั้นลาโลกไปแล้ว ไม่งั้นก็จะจับมาขอให้อ้าปากโชว์ว่า คนไหนที่อมงบ หรือ อมจอบ จะได้เชิญมาสร้างหนังเพื่อหารายได้ไปซื้อจอบแจกชาวนา (ฮา)
ครอบครัว 3.0 (สังคมอุตส่าหากรรม)
เห็นด้วยว่าอุตสาหกรรมเป็นรากฐานในการผลิตช่วยให้ ฉับไว เสร็จก่อนเวลา ปริมาณเพิ่ม คุณภาพดี ปัญหาผ่อนส่งอยู่ตรงที่ว่า หายใจข้ามหลายทศวรรษผ่านมา คนเป็นโรคปอดกันเยอะ เรื่องนี้มีเกร็ดเล่าความจริงให้ฟังหนึ่งมุกว่า ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งต้องสงวนนามบอกว่า ไปดูงานที่ประเทศยักษ์ใหญ่ พนักงานไม่สวมแมสก์เพราะนายจ้างไม่จัดหาแมสก์ให้สวม จึงถามนายจ้างว่า “พนักงานไม่สวมแมสก์ เขาจะป่วยกันเยอะนะครับ”
นายจ้างตอบหน้าตาเฉยว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก ประเทศผมมีคนล้นประเทศนะคุณ” แปลความ ถ้อยคำ ได้ว่า
“ถ้าพนักงานชุดนี้ตายไป ก็จะมีคนว่างงานเฮกันเข้ามาสมัครกันใหม่ในบัดดล” (ฮา) คิดนอกกรอบอีหรอบนี้ครอบครัวเขาจะมีความสุขสุดปัง มีกำลังใจสุดปั๊วะ ได้อย่างไรกัน
ครอบครัว 4.0 (สังคมสื่อไม่ได้ความ)
อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นฉับไวราวกับไฟลุกท่วมแทงค์น้ำมัน ย่อมจะทำให้คนมีอารมณ์โกลาหลวูบวาบตามแรงลมฉันใด กระแสตื่นเต้นล้ำเส้นไปตื่นตูมก็จะผลุนผลัน จนหุนหันพลันแล่นโต้ตอบคล้ายคลึงกันฉันนั้น
อย่างเช่น ลูกวัย 20 ปี ด่าคนข้างบ้านที่เชียร์ พรรคกรอบแกรบ ว่า “ได้ข่าวว่ามึงเชียร์ ลุงเต่า ใช่ไหม กูมีเงินพอที่จะจ่ายค่าปรับให้มึง กระทงละ 1,000 บาท พอใจไหมล่ะ อีหน้าโง่ อีดอก อีตอแหล อีเหี้ย อีผู้หญิงต่ำๆ อีเฮงซวย” (ฮา) เตรียมควักเงินรอไว้ได้เลย ประมาณ 6,000 บาท สมาชิกในครอบครัวบ้านไหนหัวร้อนแบบนี้ มีหรือจะอยู่เย็นเป็นสุข
ครอบครัว 5.0 (สังคมปราดเปรื่องสูงทรุด)
ถ้าคนยุค 1.0 ทางในได้คงจะขำกลิ้ง เพราะว่า คนในยุค สังคม 5.0 จะได้รับการเชิดชูมนุษย์เป็นศูนย์กลาง แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นว่ามนุษย์ลดตัวลงไปเป็น “ทาสดิจิตอล” ซูฮก AI เป็น ศูนย์กลาง (ต๊ะ ลึ่ง ตึ่ง โป๊ะ) ครอบครัว 6.0 ก็คงจะกลายเป็น “ฝันร้าง”
Guru ในวงการนักบริหารเขาให้ความเห็นกันเอาไว้ว่า “องค์การบังเกิดผลการดำเนินงานสมบูรณ์เมื่อไหร่ ความขยันของผู้ร่วมงานในองค์การจะแตะเบรคเมื่อนั้น” ประชาชนทุกครอบครัวพึงระวังเอาไว้ให้ดีว่า สังคมปราดเปรื่องเติบโตสุดๆ เมื่อไหร่ ความคืบหน้าของบ้านเมืองจะลาพักร้อนเมื่อนั้น เฉกเช่น สิงโต กับ กวาง
ชุดความคิด โอ้ว…จอร์จ แบบ สิงโตเจ้าป่า
ข้าจะต้องวิ่งให้เร็วมากๆ อย่างน้อยที่สุด ต้องวิ่งให้เร็วกว่ากวางตัวที่วิ่งช้าที่สุดในฝูง ข้าจะไม่อดตาย
ชุดความคิด ชิว…ชิว แบบ กวางบางแค
ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อของสิงโต ฉันไม่จำเป็นจะต้องวิ่งให้เร็วกว่าทุกตัวในฝูง ขอแค่ วิ่งให้เร็วกว่าสิงโต ก็พอ
คำถาม : สิงโต กับ กวางบางแค ใครขี้เกียจมากกว่าใคร?
การจะนำพาบ้านเมืองย่างก้าวเข้าสู่ ครอบครัว 6.0 ในอนาคต เราจะเลือกใครมาเป็นองครักษ์พิทักษ์ประเทศ ระหว่าง ผู้มีวิสัยทัศน์ ผู้มีวิสัยทิพย์ ผู้มีวิสัยทู่ หรือ ผู้มีวิสัยเท็จ