สัญลักษณ์ในสมัยโบราณ ของ เพศหญิง เพศชาย ล้วนมีความหมายน่าสนใจทั้งสองกระแส นัยสำหรับ ผู้หญิง คือ กระจกทองแดงแห่งดาวศุกร์ ใช้แทนค่า การแต่งหน้าให้สวยงามอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน นัยสำหรับ ผู้ชาย คือ โล่เหล็กแห่งดาวอังคาร ใช้แทนค่า การออกนอกบ้านไปทำมาหากินเอามาเลี้ยงครอบครัว
สามีภรรยาสมัยนู้นเขาอยู่กันยืด เพราะว่าภรรยาทำงานบ้าน สามีทำงานรับจ้าง ทั้งสองฝ่ายผลัดกันพึ่งพาอาศัย ยุคนี้ต่างฝ่ายต่างก็ยะโส ไม่แคร์กันสักเท่าไหร่ ทั้งสองต่างก็มี ทัศนคติ(เตียน)ตรงกันว่า เอ็งหาเงิน ข้าก็หาเงิน
มีเรื่องชวนหัวกับ “มุกแกร็นเอ๊กซ์!” ของ หัวหน้าครอบครัว ที่อียิปต์ในยุคโบราณ เมื่อ 30 ปี ก่อนคริสตกาล เขาเล่ากันนัว
ดังทั่วแว่นแคว้นว่า “มนุษย์มีความกระตือรือร้นที่จะมีเพศสัมพันธ์มากกว่าลา อย่างไรก็ตาม ภรรยาก็ไม่ได้ห้ามปรามสามี สิ่งที่ยับยั้งสามีเอาไว้ คือ กระเป๋าเงิน!” (ฮา)
ครอบ คือ การถ่ายทอดวิชาการปรุงอาหาร อย่างเช่น สามีอ่อนเพลียภรรยาจึงทำไข่ลวกให้สามีทานเพื่อฟื้นฟูกำลัง ถ้าสามีซุกซนในขณะที่ภรรยากำลังจะปรุงอาหาร ภรรยาก็จะใช้ภาชนะขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะงุ้ม หรือ โค้งคล้ายขันควํ่าปิดสามีไว้ไม่ให้หนีเที่ยวจนกว่าภรรยาจะอาบนํ้าเสร็จ (ฮา)
ครัว คือ ห้องสำหรับการจัดทำอาหารการกิน ทั้งนี้ สำหรับคนที่ชอบคิดนอกกรอบ หลังจากเขากินถั่งเฉ้าเสร็จ ก็อาจจะเปลี่ยนครัวเป็นห้องนอนชั่วคราวก็ได้ กว่าจะรู้ว่านอนผิดที่ ถ้วยจานก็ตกแตกไปหลายใบ (ฮา)
มันช่างประหลาดอะไรเช่นนั้น เปิดพจนานุกรมดูคำว่า ครอบครัว กูรูท่านแปลไว้ว่า ครอบครัว หมายถึง สถาบันพื้นฐานของสังคมที่ประกอบด้วยสามีภรรยา และหมายความรวมถึงลูกด้วย (ฮา)
ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเอาไลฟ์สไตล์ของครอบครัวยุคโน้นมาครอบงำครอบครัวยุคนี้ เพียงแค่จะเล่าให้รู้ว่า ครอบครัวสมัยเก่าเขาเรียกว่า “ครอบครัวนิวเคลียร์!” คือ สมาชิกเกาะตัวพึ่งพาอาศัยกันเป็นกลุ่ม อย่างเช่น ทวด ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา พี่ น้อง ลูก หลาน ลูกพี่ ลูกน้อง ลูกเขย ลูกสะใภ้ ญาติโกโหติกาแบบนั้นในยุคนี้คงจะหาทำยาได้ยาก ยุคนี้กลายพันธุ์มาเป็น “ครอบครัวทาบกิ่ง” หรือ “ครอบครัวแซนด์วิช”
คิดอีกมุมหนึ่งก็ได้ว่า อันที่จริงครอบครัวยุคนี้แหละ เป็น ครอบครัวนิวเคลียร์ ขนานแท้ ลองเอาคำว่า Nuclear มาจำแนกดู Nu ภาษาโรมาเนีย แปลว่า “ไม่” Clear ภาษาอังกฤษ แปลว่า “ชัดเจน” เมื่อนำมารวมเป็น Nuclear หมายถึง “ไม่ชัดเจน” เพราะว่า หมอกควันพิษแผ่เป็นวงกว้างบดบังทุกสิ่งในครอบครัว จนแลพิกัดสำคัญไม่เห็นว่าไผเป็นไผในครอบครัว” (ฮา)
เกร็ดชีวิตของคน อีสาน กับ ปักษ์ใต้ สมัยจุดตะเกียง ใครแต่งงานกับคนอีสานจะต้องทำใจเผื่อไว้ล่วงหน้า เวลาเพื่อนของแฟนเขามาเยี่ยมแต่ละคราว เราจะได้พบปะกับมวลมหา “มิตรสหายนิวเคลียร์!” เพื่อนผู้ห่วงใยเขาจะยกพลขึ้นบก ยกโขยงกันมาล้มทับกันเต็มบ้านคล้ายกับโดนบอมบ์ (ฮา)
ผมแปลกใจคนอีสานในกรณีที่มีคิวการจัดอบรมเมื่อใด เมื่อนั้นเขาจะพร้อมใจแห่มากันนั่งฟังเต็มห้องบรรยายเสมอ ผมถามด้วยความเคารพและอยากรู้ว่า “ทำไมคนอิสานถึงได้ตื่นตัวเข้าร่วมอบรมกันจริงๆจังๆ” เขาตอบตรงไปตรงมาว่า “คนอีสานโดนดูแคลนมาตลอดว่าพวกเรามันโง่ วิธีสยบการดูถูกด้วยการชกกันไม่ได้ช่วยให้เราฉลาดขึ้น การสนใจใฝ่รู้ต่างหาก ที่ทำให้ผู้ที่ดูหมิ่นเขินไปเองเมื่อเขารู้ว่าเราคือ เสือซ่อนเล็บ” (ว้าว!)
คนอีสานดั้งเดิมเขาจะอยู่กันเป็น
กระจุก ดุจโอเอซิสในทะเลทราย ต่างกับ คนปักษ์ใต้สายสวนยาง เขาอยู่ห่างกันเป็นกิโล โจรต่างแดนก็รอจังหวะปล้นคนขายยาง เขาจึงตกลงกันว่า “ถ้าข้ายิงปืนขึ้นฟ้า เอ็งรีบมาให้ทัน ถ้าเอ็งยิงพลุขึ้นฟ้า ข้าจะไปให้ไว”
ส่วนเหตุที่คนใต้พูดเสียงดังฟังแล้วห้วน เพราะว่า ฝนตกบ่อยกว่าภาคอื่นๆ เขาจึงต้องตะโกนแข่งกับเสียงลมผสมกับสายฝน ตะโกนหลายคำก็เจ็บคอ เขาจึงพูดสั้นๆ พูดให้มันรู้เรื่องก็พอ เดินสวนกันตอนฝนขย่มลมเขย่าเขาจึงทักว่า “ผรื่อ” แปลว่า เป็นไงบ้าง อีกฝ่ายตอบหน้าตาเฉยว่า “หร๊อย” แปลว่า สนุกดี หมายถึง สะใจที่ได้เดินโต้กระแสลมได้อมนํ้ามนต์จากฟากฟ้า
หนุ่มปักษ์ใต้สไตล์ห้วน แต่งกับ สาวอีสานสไตล์นิวเคลียร์ เขาจะปรับตัวคั่วทฤษฎีผสมผสานหรือเปล่า สังเกตครอบครัวตัวอย่างจากการครองเรือนในแต่ละห้วง เวลามักจะมีความผันแปรแตกต่างกันไป ใครเปราะบางก็จะปริแยกง่าย
ข้อมูลการทำวิจัย ของ Pew Research ที่สุ่มตัวอย่างเอาไว้ใน ทศวรรษ 1960 เด็ก 73% จะอาศัยอยู่กับพ่อแม่สองคนหลังการแต่งงานช่วงแรก ในทศวรรษ 1980 กระแสดังกล่าวก็เริ่มลดลง เด็ก 61% เดินตามรอยเดียวกัน เด็กรุ่นใหม่ใฝ่อิสรภาพเดินตามรอยนั้นไม่น้อยกว่าน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของแต่ละโซน
นอกจากแยกจากพ่อแม่ เผลอๆ จะแยกกันเองจนตั้งรับไม่ทัน ส่วนหนึ่งที่ปริแยกก็ไม่ได้เกี่ยวกับปณิธานที่โหยหา ส่วนใหญ่มักจะเนื่องมาจาก “กมลสันดาป” เป็นผลข้างเคียงมาจาก “กมลสันดาน” (ฮา)
เรื่องคลายหาว ในที่สมัยโรมยังไม่มีแผงโซล่าเซลล์ เมื่อ คริสตศักราช 14 มีมุกตกหล่นเก็บเอามาเล่าต่อกันว่า จักรพรรดิออกุสตุส เสด็จเยือนจักรวรรดิ เขาสังเกตเห็น ชายคนหนึ่งในฝูงชน ซึ่งมีหน้าตาคล้ายคลึงกับพระองค์เองอย่างน่าทึ่ง จึงตรัสถามด้วยความสงสัย “แม่ของเจ้าเคยไปรับราชการที่พระราชวังหรือเปล่า?” ชายคนนั้นกราบทูลว่า “แม่ของข้าไม่เคยเข้าวัง พ่อของข้าเข้าวังบ่อยมาก!” (ฮา)