หลังจากไม่ได้นำเอาเรื่องของเมียนมามาเขียนเกือบเดือนครึ่ง วันนี้ผมขอมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกรอบนะครับ หวังว่าคงไม่ขาดตอนไปมากเกินไปนะครับ เพียงแต่อาจจะมีเรื่องราวของประเทศเมียนมาไม่ค่อยอัปเดตเท่าที่ควร เพราะที่เมียนมามีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ วัน จนเราตามไม่ค่อยทันเลยครับ วันนี้จึงขออนุญาตนำมาเล่าในบางประเด็นให้อัปเดตข่าวสารกันนะครับ
ตั้งแต่เกิดเรื่องเกิดราวในช่วงของวันหยุด “เต็งจั่น” หรือวันขึ้นปีใหม่ของเมียนมา ที่ตรงกับเทศกาลสงกรานต์ของไทยเรา ทำให้ผมต้องหลบเลียแผลในใจ ที่รู้สึกเจ็บปวดกับการตายของเด็กนักเรียนสามสิบกว่าคน ที่ถูกลูกระเบิดทิ้งมาจากอากาศยานที่รัฐสะกาย จนต้องหยุดเขียนบทความเรื่องของเมียนมาไปหลายอาทิตย์ แต่ก็หันไปเขียนเรื่องของนักรบก๊กหมินตั๋งที่อยู่ตามชายแดนไทยแทน คงไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังนะครับ บางท่านถึงกับไลน์มาถามว่า จะมีตอนต่อไปอีกมั้ย? ผมคิดว่าเอาแค่นั้นก่อนก็แล้วกัน ไว้โอกาสดีๆ เราค่อยมาเขียนเรื่องเด็กบนดอยแม่สลองใหม่นะครับ
ช่วงที่ผ่านมาหลายอาทิตย์ ความไม่สงบในประเทศเมียนมา ก็ไม่ได้ลดความร้อนแรงลงไปเลย มิหนำซ้ำบางพื้นที่ ยังรุนแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำไป ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของประเทศเมียนมา ก็จะมีให้เห็นทั้งสองด้าน ในกลุ่มหนังสือพิมพ์ที่ไม่ยอมรับรัฐบาลทหารเมียนมา ก็จะออกมาในทางโจมตีทหารเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็จะนำแต่ข่าวการปะทะกันของกองกำลังต่างๆ กับทหารหาญของรัฐบาล อีกทั้งยังคงปล่อยแต่ข่าวร้ายแรง และข่าวนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ว่าถูกกระทำต่างๆ นานา บางข่าวก็จะนำเสนอค่อนข้างจะเวอร์ๆ ไปนิด บางครั้งจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตาย ก็ใส่ให้จำนวนเกินกว่าความเป็นจริงไปบ้าง นั่นก็คงเป็นเรื่องปกติ เพราะนี่คือช่วงเวลาของสงครามข่าวสารกระมังครับ
ส่วนสำนักข่าวของกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล ก็มักจะมีแต่ข่าวดีมาป่าวประกาศ รัฐมนตรีท่านนั้นท่านนี้ไปเปิดงานบ้าง ไปทำการกุศลบ้าง ไปต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองบ้าง ก็เป็นปกติธรรมดาอีกนั่นแหละครับ ถ้าจะมีข่าวร้ายๆ ก็ต้องเป็นข่าวที่ไม่สามารถปกปิดได้เท่านั้น ที่จำเป็นต้องลงข่าวให้เห็น แต่ก็ไม่ได้ตีไข่ใส่สีเพิ่มเติม หรือยืดยาวจนเกินไปครับ ล่าสุดที่ข่าวออกมาในทิศทางที่ใกล้เคียงกัน ก็เป็นข่าวพายุไซโคลนมอคค่า ถล่มรัฐยะไข่ ที่เป็นข่าวรุนแรงออกมาเท่านั้น ที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกันทั้งสองฝ่ายครับ
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยเราก็ได้ทราบข่าวร้ายจากประเทศเมียนมาว่า ได้เกิดพายุไซโคลนถล่มเข้ามาทางฝั่งตะวันตกของประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นการเข้ามาสร้างความสูญเสียอย่างร้ายแรงให้แก่เมียนมาอีกครั้ง หลังจากในปี 2008 ประเทศเมียนมาได้เคยถูกพายุนาร์กิสถล่มเข้าใส่ จนเกิดความเสียหายอย่างหนัก ครั้งนั้นพายุมีความเร็วลมสูงสุด (peak wind) อย่างน้อย 215 กิโลเมตรต่อหนึ่งชั่วโมง ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 146,000 คน ในขณะที่ครั้งนี้ พายุไซโคลนมอคค่ามีความรุนแรงหรือความเร็วลมของพายุลูกนี้ มีความเร็วลมสูงสุดอย่างน้อย 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งก็ไม่ได้ต่างกับเมื่อครั้งพายุนาร์กิสมากสักเท่าไหร่ แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ประกาศออกมา ยังน้อยกว่าเมื่อครั้งนาร์กิสมาก ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิด อาจจะเป็นเพราะเมื่อครั้งพายุนาร์กิสพัดผ่าน ได้เข้ามาทางรัฐอิระวดี ที่มีประชากรค่อนข้างจะหนาแน่น แต่ครั้งนี้พายุไซโคลนมอคค่า เข้ามาทางประเทศบังกลาเทศ (ข่าวจากบังกลาเทศ ทางไทยเรากลับไม่ค่อยได้รับทราบข่าวความเสียหาย) พัดผ่านมาทางรัฐยะไข่ ที่ค่อนไปทางตอนเหนือของรัฐ โดยพัดเข้าทางเมืองชิตต่วย ซึ่งเป็นเมืองเอกของรัฐยะไข่ แต่มีประชากรไม่ค่อยหนาแน่นเหมือนรัฐอิระวดีนั่นเองครับ
พายุไซโคลนมอคค่า ที่เข้ามาทางด้านเมืองชิตต่วยนี้ ได้สร้างความสูญเสียให้แก่ประเทศเมียนมาเยอะมาก เพียงแต่การประกาศออกมาว่า มีผู้เสียชีวิตไม่มาก สำนักข่าวทั้งสองฝ่ายประกาศมาเป็นตัวเลขหลักร้อยทั้งคู่ จึงพอจะอนุมานได้ว่า ประชาชนที่เสียชีวิตน่าจะไม่ถึงพันคน อย่างไรก็ตามก็ต้องรอดูต่อไปอีกสักนิด เพราะในช่วงพายุนาร์กิส ช่วงแรกๆก็ประกาศออกมาน้อยมาก แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน ตัวเลขก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทะลุหลักแสนเลยครับ ส่วนด้านปศุสัตว์ก็เสียหายไปไม่น้อย เท่าที่ผมดูจากรูปภาพในข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ ก็เห็นวัว-ควายตายเกลื่อนท้องนา บ้านเรือนเสียหายก็เยอะมากเลยละครับ ถ้าเป็นสภาวะปกติ ที่ไม่มีการแซงค์ชั่นจากประเทศชาติตะวันตก ผมเชื่อว่าข่าวนี้ต้องเป็นข่าวใหญ่แน่นอนครับ
ที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เมืองที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์มาก อย่างเช่นเมืองชิตต่วย ต้องมาประสบภัยพิบัติในครั้งนี้ เมืองนี้ผมเคยเดินทางไปหลายครั้ง ทุกครั้งที่ไปก็จะเกิดความประทับใจมากทุกครั้งเลยครับ ก็ขอแสดงความเสียใจกับพี่น้องชาวเมียนมาผู้สูญเสียจากใจนะครับ