เมื่อวันที่ 6-9 ธันวาคมที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปเมืองมัณฑะเลย์และพุกาม เพื่อพาคณะกรุ๊ปทัวร์ของแฟนคลับไปท่องเที่ยวที่ประเทศเมียนมา ก่อนการเดินทางไปท่องเที่ยวครั้งนี้ ได้เห็นการรายงานข่าวจากหลากหลายแหล่งข่าว ที่วิจารณ์ว่าเมียนมามีสถานการณ์น่าหวาดหวั่นอย่างมาก เกี่ยวกับความไม่สงบภายใน จากการสู้รบของทหารฝ่ายรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรสามชนชาติพันธุ์
สำนักข่าวบางสำนักถึงกับมีการวิจารณ์ว่า รัฐบาลทหารเมียนมาจะล่มสลายบ้าง ประเทศเมียนมาจะแตกบ้าง สถานการณ์น่ากลัวต่างๆ นานา บ้าง ซึ่งผมก็ได้รับคำเตือนจากเพื่อนฝูงหลายราย จนทำให้ผมไม่กล้าที่จะบอกกับภรรยาว่าจะไปที่ไหนเลยครับ
แต่พอมาถึงเมียนมาจริงๆ ภายในเมืองพุกามและเมืองมัณฑะเลย์ กลับมีแต่ความสงบเงียบ ที่เงียบนั้นไม่เพียงแต่เงียบโดยไม่ได้ยินเสียงปืน หรือริ้วรอยของการสู้รบเท่านั้น แต่เงียบเพราะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จากการประโคมข่าวจากภายนอก จนทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวกล้าที่จะเดินทางมาเที่ยว ทำให้การค้า-ขายในประเทศเมียนมา ขาดแคลนเม็ดเงินรายได้จากการท่องเที่ยว มาสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนของเขาเอง วันนี้ผมจึงขอไม่พูดถึงเรื่องการเมืองภายในของเขา แต่ขอพูดเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากข้อมูลข่าวสารมากกว่านะครับ
เริ่มจากการพูดคุยกับ “น้องสายชล” ที่เป็นไกด์ชาวไทยใหญ่ ที่มาให้บริการเราตลอดทริปนี้ก่อนเลย เขาเล่าว่านักท่องเที่ยวจากประเทศไทย ที่อดีตเคยมาเที่ยวเมียนมาอย่างคึกคักมาก แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีคนไทยกล้าเข้ามาท่องเที่ยวแล้ว เงินทองที่เคยเก็บสะสมไว้ ก็เริ่มที่จะหดแห้งไปตามริ้วรอยของความบอบช้ำจากข่าวสาร ที่โหมกระหน่ำเข้ามาตลอดสอง-สามเดือนที่ผ่านมาด้วย ชาวบ้านที่เคยมีรายได้จากนักท่องเที่ยว ก็พลอยอดยากปากแห้งไปด้วยเช่นกันครับ
ต่อมาพอเราไปถึงเมืองพุกาม สิ่งที่เห็นมาคือเด็กๆ ที่ขายของชำร่วย เขาวิ่งตามกรุ๊ปของเรามาตลอดทั้งวัน ผมได้ถามเด็กน้อยคนหนึ่ง ซึ่งถ้ามองจากผิวพรรณของเธอแล้ว ไม่น่าจะเป็นเด็กที่ยากจนแน่นอน เธอบอกว่าเธอเป็นนักเรียนอยู่ ช่วงนี้ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะไม่มีเงินไปเรียน จึงถามเธอว่า แล้วขายของชำร่วยให้นักท่องเที่ยว ทุกวันนี้ได้เงินวันละเท่าไหร่? เธอบอกว่า บางวันค่าน้ำมันรถที่เธอขี่มาวิ่งตามรถนักท่องเที่ยว ยังไม่เพียงพอเลย
โดยเฉพาะช่วงนี้ข่าวสารด้านลบ ทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าเข้ามาเที่ยวเมืองพุกามเลย อย่างวันนี้มีกรุ๊ปทัวร์เพียงกรุ๊ปเดียว ก็คือกลุ่มของท่านนี่แหละ แต่ดูแล้วก็ไม่น่าจะได้เงิน เพราะเธอขายหนังสือชีวประวัติของราชวงศ์พม่า ผมจึงบอกเธอไปว่า เธอควรไปหาสินค้าอื่นที่นักท่องเที่ยวต้องการซื้อมาขายซิ!! จะได้ขายได้ เธอตอบผมว่า ถ้าซื้อมาขายแล้วไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยว ก็ไม่มีประโยชน์ เออ..........ก็จริงที่เธอว่านะครับ
วันรุ่งขึ้นกรุ๊ปทัวร์ของเราได้มาเที่ยวที่เมืองมินกุน ที่เป็นการล่องเรือมาทางแม่น้ำอิระวดี “น้องบี” ซึ่งเป็นไกด์ทัวร์อีกคนหนึ่งบอกว่า เมื่อไปถึงมินกุนแล้ว จะมีเด็กๆ วิ่งมารอรับนักท่องเที่ยว เด็กๆ เขาจะมาร์คตัวนักท่องเที่ยวไว้เลย ว่าใครได้นักท่องเที่ยวคนไหน? ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ เด็กๆ ที่วิ่งกรูกันเข้ามารับ ต่างคนต่างจับจองนักท่องเที่ยวในกรุ๊ปเรากันใหญ่ เหมือนที่น้องบีบอกเลยครับ
ซึ่งเท่าที่คุยกับป้าที่ร้านขายของชำร่วย อยู่หน้าเจดีย์มินกุน ป้าแกบอกว่า ทุกวันนี้ขายของไม่ดีเลย เช่นวันนี้ก็มีนักท่องเที่ยวเพียงกรุ๊ปเดียวเท่านั้น จากเดิมในช่วงปกติจะมีนักท่องเที่ยวมาไม่เคยขาดสายเลยก็ว่าได้ครับ
ผมเองประทับใจคำพูดของอาจารย์อัทธ์ พิศาลวานิช ที่ท่านบอกว่า วันนี้รัฐบาลทหารเมียนมา ยังไม่ได้แพ้สงครามที่มีการสู้รบกันที่ชายแดน เพราะสงครามนั้นเป็นเพียงสงครามที่อยู่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ๆ เช่นเมืองมัณฑะเลย์ กรุงย่างกุ้ง กรุงเนปิดอร์มาก แม้จะมีการสู้รบกันอย่างไร ก็ไม่น่าจะรุกคืบเข้าสู่เมืองได้ง่ายๆ เพราะกำลังของกองกำลังชาติพันธุ์ ถ้าเปรียบเทียบกับกองกำลังของทหารรัฐบาล ทั้งด้านกำลังพลและด้านยุทโธปกรณ์ อย่างไรเสียทหารรัฐบาลก็ได้เปรียบมาก
แต่วันนี้รัฐบาลเมียนมาพ่ายแพ้ด้านสงครามการสื่อสารมากกว่า เพราะประเทศอื่นๆ ไม่ใช่แค่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประโคมข่าวว่ารัฐบาลเมียนมาใกล้จะแตกแล้ว หรือทหารเมียนมาพ่ายแพ้แล้ว แต่จากการที่ได้มาเที่ยวในครั้งนี้ของกรุ๊ปเรา ไม่ได้พบริ้วรอยของการสู้รบในพื้นที่ๆ เราไปเลย ไม่มีแม้แต่รถถังมีแต่เห็นรถเข้าแถวรอเติมน้ำมันกันยาวเหยียด ซึ่งเกิดจากการไม่มีเงินชำระค่าน้ำมัน
ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ได้พูดคุยกับเพื่อนชาวเมียนมาท่านหนึ่งว่า เราน่าจะเอาน้ำมันเข้ามาขายให้ปั๊มน้ำมันเองนะ เพราะรัฐบาลไม่น่าจะมีเงินดอลลาร์ไปชำระค่าน้ำมัน เพื่อนบอกว่า ทำไม่ได้หรอก เพราะรัฐบาลเขาไม่ให้ขายน้ำมันโดยเสรี จะต้องมีการซื้อ-ขายผ่านระบบการควบคุมของรัฐบาล และจะต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลก่อน จากนั้นเงินทุกดอลลาร์ก็จะต้องมีการผ่านไปทางธนาคารกลางแห่งชาติเมียนมา วันนี้ก็มีข่าวโคมลอยว่า มีเรือที่ส่งน้ำมันยังคงลอยลำอยู่กลางทะเลอีก 6 ลำ แต่รัฐบาลไม่มีเงินดอลลาร์มาชำระค่าน้ำมัน จึงทำให้น้ำมันขาดตลาดรุนแรงมาก
ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นในวันนี้ คงเป็นเพราะรัฐบาลขาดเงินทุนสำรองเงินตรา ที่มาจากการแซงชั่นของประเทศมหาอำนาจนั่นเอง อีกทั้งยังมีการสร้างข่าวออกมา เพื่อให้เกิดสงครามข่าวสาร ที่น่าจะรุนแรงกว่าที่เป็นจริง จนเกิดความปั่นป่วนโดยใช่เหตุ ทั้งๆ ที่รัฐบาลเมียนมาเอง ก็พยายามที่จะแก้ข่าว แต่ก็ยิ่งแก้ยิ่งพันตัวเองเป็นลิงติดแห อีกทั้งการแก้ไขเศรษฐกิจของรัฐบาลเมียนมา ยังไม่สามารถสร้างกระแสเงินหมุนเวียนได้ จึงทำให้สภาวะเศรษฐกิจที่รุมเร้า
อัตราเงินเฟ้อวิ่งหนีราคาสินค้า ทำให้ประชาชนยิ่งดูเหมือนจะยิ่งยากจนลง เมื่อมองดูรายได้ของประชาชนและด้านการท่องเที่ยว แม้ราคาค่าใช้จ่ายในทุกๆ ด้านจะถูกลงมากกว่าเดิมถึงสามเท่า แต่ก็ไม่สามารถสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของสถานการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบทิพย์ๆ ได้ นักท่องเที่ยวจึงเหือดหายไปมากครับ
ผมเองอยากให้เพื่อนๆ หรือคนรู้จัก ที่เคยมาเที่ยวเมียนมาแล้วหลงรักเมียนมา หรือพวกเราชาวสายมู ที่ชอบมาไหว้พระหรือมากราบเจดีย์ ท่านลองกลับมาเที่ยวที่กรุงย่างกุ้งหรือเมืองมัณฑะเลย์ดูอีกสักครั้ง ถ้าหากท่านยังเกรงกลัวเรื่องความปลอดภัย ท่านก็เพียงไปไหว้พระตอนกลางวัน พอพลบค่ำหลังทานอาหารค่ำที่โรงแรมแล้ว ก็พักแต่ในโรงแรม ก็น่าจะปลอดภัยไร้กังวลนะครับ ถือว่าเรามาช่วยเพื่อนบ้านกระจายรายได้ให้คนเมียนมา ก็เป็นการช่วยเหลือเขาแล้วครับ