ตลาดหุ้นไทย..ทำไมหุ้นตก

06 ธ.ค. 2566 | 04:48 น.

ตลาดหุ้นไทย..ทำไมหุ้นตก : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯ ทัศนะ โดย... รศ.ดร.พรชนก คัมภีรยส คูเวนเบิร์ค และ ศ.ดร.รอย คูเวนเบิร์ค คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3946

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน หุ้นไทยตกไปประมาณ 16.8% (YTD) กูรูหุ้นเรียกว่าเป็นภาวะเลือดนองตลาด เซียนอีกท่านรับว่ารอบนี้ขาดทุนหนักสุดในช่วง 10 กว่าปี นักลงทุนรายย่อยเชื่อว่า Naked short selling และ Program trading ของนักลงทุนต่างชาติ คือ สาเหตุ 

ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปฏิเสธเรื่อง Naked short selling (การยืมหุ้นมาขายโดยไม่มีหุ้นอยู่ในมือ) และมองไปที่สัดส่วนนักลงทุนต่างชาติที่ตอนนี้ กลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาดที่มีอาวุธทันสมัยครบมือ ซื้อขายได้รวดเร็วและทีละมากๆ 

ติดตามประเด็นร้อนฉ่านี้แล้วให้สงสัยว่า ถ้าเป็นช่วงตลาดขาขึ้น ทั้งนักลงทุนต่างชาติ การอนุญาตทำ Short selling (การยืมหุ้นมาขาย) และ Program Trading (โปรแกรมซื้อขายหุ้น) เช่น Algorithmic Trading หรือ High Frequency Trading ยังจะถูกมองเป็นผู้ร้ายหรือไม่ 

บทความนี้ จึงอยากชวนมาทำความรู้จักตลาดหุ้นไทย และสาเหตุของหุ้นตกจากมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ โดยดูจาก P/E ratio, Profit Margin และสัดส่วนของหุ้นหวย (Lotto stocks) ในตลาดไทย รวมถึงพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด ที่ทำให้เราสะบักสะบอม และ Tip การลงทุนจากผลการวิจัย 

เท้าความก่อนว่า ตลาดหุ้น เช่น SET และ mai มีความสำคัญในการสนับสนุนการส่งผ่านเงินทุน ไม่ใช่ทำหน้าที่ส่งผ่านเงินทุนโดยตรง หลายคนเข้าใจว่าซื้อหุ้น ปตท. ใน SET ปุ๊บ ปตท. ได้เงินจากเราไปลงทุนปั๊บ ไม่ใช่แบบนั้น 

ตลาดรอง เช่น SET และ mai ช่วยสนับสนุนการลงทุนของบริษัทโดย 1) เมื่อบริษัทตัดสินใจหาเงินทุนด้วยการออกหุ้น ถ้าหุ้นที่บริษัทออกสามารถนำมาขายทอดใน SET และ mai ต่อได้ หุ้นของบริษัทที่ซื้อง่ายขายคล่องเหล่านี้จะราคาสูงกว่าหุ้นสภาพคล่องต่ำ 

และ 2) SET และ mai มีส่วนกำหนดราคาอ้างอิงของหุ้นออกใหม่ ดังนั้น หากตลาดหุ้นอยู่ในขาขึ้น บริษัทจะสามารถออกหุ้นระดมทุนได้ ในราคาสูง ได้เงินมาลงทุนมากขึ้น 

ส่วนนักลงทุน ตำราอธิบายว่า นักลงทุนซื้อขายหุ้นโดยพิจารณาจากผลตอบแทนที่คาดว่า จะได้จากหุ้นตัวนั้น เทียบกับตัวเลือกการลงทุนอื่นๆ โดยผลตอบแทนของการถือหุ้นหลักๆ จะมาจาก 1) เงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับเมื่อบริษัทมีกำไร กับ 2) ราคาหุ้นที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น 

เมื่อพิจารณาแล้วหากนักลงทุนเห็นว่า ราคาหุ้นขณะนี้ถูกคุ้มที่จะลงทุนเขาก็ซื้อหุ้น แต่ถ้าคิดว่าราคาหุ้นแพงเกินผลตอบแทนที่จะได้รับก็ขาย เมื่อไหร่ความต้องการซื้อหุ้นสูงกว่าความต้องการขาย ราคาหุ้นก็ขึ้น ถ้าความต้องการขายหุ้นสูงกว่า ราคาก็ตก   

หลายฝ่ายอธิบายสาเหตุตลาดตกรอบนี้ว่า เกิดจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคารกลางต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ทำให้การลงทุนในตลาดเงิน และ ตลาดตราสารหนี้

น่าสนใจกว่าการลงทุนในหุ้น ขณะที่นักลงทุนยังไม่มั่นใจในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดของรัฐบาลไทย คือ คาดเดาไม่ถูกว่าเศรษฐกิจไทยจะไปในทิศทางใด 

ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อราคาหุ้น คือ “การคาดการณ์” ตัวเลข P/E หรือ Price earning ratio เป็นอัตราส่วนระหว่างราคาหุ้นกับกำไรสุทธิต่อหุ้น สะท้อนการคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share (EPS) Growth Rate) ถ้านักลงทุนคาดหวังว่า กำไรจะสูง ความต้องการถือหุ้นสูง P/E ratio ก็จะสูง 

ในกรณีของไทย ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 P/E ของ SET อยู่ที่ประมาณ 18.1 สูงเกือบเท่ากับตลาดเกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ส่วน P/E ของ mai อยู่ที่ประมาณ 108.5

ปลายปีที่แล้วนักวิเคราะห์คาดว่า กำไรต่อหุ้นปีนี้จะสูงกว่าปีที่แล้วประมาณ 5-10% แต่ระหว่างปีได้มีการปรับลดการคาดการณ์ลงอย่างรุนแรง ล่าสุดมาอยู่ที่ -15.4% ติดลบ! 

และเมื่อคำนวณอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นจริงๆ ปีนี้พบว่า ติดลบอยู่ที่ -16.4% (YTD) เมื่อนักลงทุนผิดหวังขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ราคาหุ้นจะตกอย่างแรง  

ที่น่ากังวล คือ Forward profit margin (อัตรากำไรคาดการณ์) ของไทย 20 ปีที่ผ่านมา ปรับลดลงจาก 17% มาอยู่ที่ 5.8% Profit margin เป็นอัตราส่วนระหว่างกำไรกับรายได้ของบริษัท แสดงความสามารถในการทำกำไรของบริษัท 

ขณะที่ Forward profit margin สะท้อนการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ที่มองความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นไทยในอนาคต ดังนั้น ถ้าคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ยังคงลดลงต่อเนื่องแบบนี้ ราคาหุ้นจะขึ้นจากปัจจัยใด  

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ มูลค่าการซื้อขายหุ้นหวย (Lotto stocks) ในตลาดบ้านเรามากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ประมาณ 34% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดในตลาด อันดับสองคือจีน 32%  

หุ้นหวย คือ หุ้นที่ราคาผันผวนสูง มีลักษณะเหมือนหวย เพราะมีโอกาสเล็กๆ ที่จะได้กำไรมากๆ ในระยะเวลาสั้นๆ คนชอบพนันในหุ้นหวย เพราะมันเร้าใจ ซึ่งนักพนันเหล่านี้มักลงทุนระยะสั้นๆ และไม่ชอบการขาดทุน คือขาดทุนปุ๊บขายปั๊บ 

                          ตลาดหุ้นไทย..ทำไมหุ้นตก

งานวิจัยล่าสุดในตลาดต่างประเทศ  พบว่า นักลงทุนในหุ้นหวยส่วนใหญ่เป็นคนมีเงิน มีความรู้ทางการเงิน และไม่เล่นพนันนอกตลาด ส่วนนักพนันนอกตลาดที่ลงพนันในหุ้นหวยมักเจ๊ง!

ในบ้านเรายังไม่มีการศึกษาว่า คนพนันในหุ้นหวยเป็นใคร เล่นพนันนอกตลาดมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือ หากการซื้อขายหุ้นผันผวนสูงในบ้านเรามากขนาดนี้ หุ้นที่ขึ้นแรงเหล่านี้ ย่อมตกแรงได้เช่นกัน และหุ้นหวยมักมีโอกาสขาดทุนมากกว่าทำกำไร

จากผลการศึกษาพบว่า สิ่งที่ช่วยให้นักพนันหุ้นหวยรอดจากการขาดทุนคือ การกระจายความเสี่ยง ซึ่งทางวิชาการหมายถึงการถือหุ้นมากกว่า 30 ตัวในหลากหลายอุตสาหกรรม

งานวิจัยในไทยพบว่า โดยเฉลี่ยนักลงทุนรายย่อยถือหุ้นประมาณ 5-6 ตัว และไม่ถึง 10% ที่ถือหุ้นมากกว่า 10 ตัว (ไม่รวมกองทุน)  

ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงที่ไม่เพียงพอผนวกกับ home bias (การเลือกลงทุนแต่หุ้นไทย ไม่กระจายการลงทุนไปยังประเทศอื่น) ทำให้เราเจ็บกว่านักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติ

คำถามต่อมา คือ แล้วเรา.. นักลงทุนรายย่อยจะเลือกหุ้นอย่างไรดี

จากงานวิจัยที่ศึกษาผลตอบแทนของการลงทุนในหุ้นรายตัวเป็นระยะเวลา 30 ปี โดยนำผลตอบแทนที่ได้ไปลงทุนต่อ (ระหว่างปี 1990–2020)  พบว่า จากหุ้นของไทยทั้งหมด 923 ตัว มีเพียง 47.1% ที่มีอัตราผลตอบแทนเป็นบวก

ครึ่งหนึ่งให้ผลตอบแทนติดลบต่ำกว่า -0.4% ต่อปี และไม่ถึงหนึ่งในสี่ (23.7%) ให้ผลตอบแทนดีกว่าดัชนีตลาด

นอกจากนั้น 80.65% ของการเติบโตของตลาดหุ้นไทยช่วง 30 ปีนี้ขับเคลื่อนโดยหุ้นเพียง 10 บริษัท 1% ของหุ้นทั้งตลาด

แปลความได้ว่า สำหรับการลงทุนระยะยาว หุ้นในตลาดที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมีไม่ถึงครึ่ง หุ้นที่จะชนะดัชนีตลาดยิ่งน้อยกว่ามาก ถ้าเลือกผิดฝังเงินไว้ในตุ่มน่าจะดีกว่าลงทุนในหุ้น และผลการศึกษานี้ไม่ใช่เฉพาะในไทยแต่พบในตลาดต่างประเทศเช่นกัน   

ส่วนตัวเชื่อมั่นในความมีประสิทธิภาพของตลาด (Market Efficiency) เชื่อว่าหุ้น (รวมถึงผู้จัดการกองทุน Active Fund) ดีจริง เก่งจริงนั้นคงพอมี แต่หายากมาก

ส่วนใหญ่ถ้าดูกันยาวๆ แล้วอาจแค่โชคดี ดังนั้นแนะนำลงทุนกองทุนดัชนีหุ้น (Index Fund) ไม่ต้องเลือก ถือหุ้นมันทั้งตลาดและหลายตลาด แบบนี้ยังไงหุ้นตัวเด่นก็อยู่ในมือเรา...