*** หลังจากที่ขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อแจกปันผลพิเศษในอัตรา 0.60 บาท/หุ้น จากเงินขายหุ้นของ บมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์ หรือ 3BB (TTTBB) รวมไปถึงหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) จำนวน 28,371 ล้านบาท ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสินทรัพย์ที่เหลืออยู่ล็อตท้ายสุด ทำให้ราคาหุ้น JAS ของ “เสี่ยพิชญ์ โพธารามิก” ปรับลงไปอยู่ต่ำกว่าราคา 1.50 บาท ซึ่งแม้ว่าราคาหุ้นนี้จะไม่ใช่ระดับราคาหุ้นต่ำที่สุดในรอบปี แต่ก็ถือว่าอยู่ในกรอบของราคาที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 10 ปีของ JAS เช่นเดียวกัน
คำถามคือ หลังจากที่แทบจะไม่เหลืออะไรให้ขาย...ต่อจากนี้ไป JAS จะเดินไปในทิศทางไหนต่อ ???
อย่างแรกคือ สินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเหลืออยู่แค่ธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ตทีวี ผ่าน บริษัท ทรี บีบี ทีวี จำกัด (3BB TV), ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ในอาคารจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ทาวเวอร์ ผ่านบริษัท พรีเมียม แอสเซท จำกัด (PA) และเงินลงทุนในบริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS ส่วนธุรกิจของ MONO ก็ถือว่า เป็นสินทรัพย์ส่วนตัวของเสี่ยพิชญ์ ซึ่งไม่สามารถจะเอามานับรวมได้ ดังนั้น ความยิ่งใหญ่ที่เคยมีอยู่ของ JAS ในวันนี้ จึงแทบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
อย่างที่สองก็คือ หลังจากรับเงินปันผลไปกว่า 2.7 พันล้านบาท ในฐานะของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีหุ้นอยู่เกือบ 4.5 พันล้านหุ้น ในสัดส่วนที่มากกว่า 50% จากนี้เสี่ยพิชญ์จะดำเนินการหรือทำอะไรกับ JAS ต่อไปอีก
เรื่องสุดท้ายที่น่าจับตามมองมากที่สุด ก็คือ เรื่องที่ผู้บริหารระดับสูงของ JAS เริ่มลาออกไปทีละคนสองคน จนแทบจะไม่เหลือคนรุ่นเก่าอยู่เลย
ท้ายที่สุด...หากเสี่ยพิชญ์คิดว่า เงินปันผลที่เคยได้มาหลายรอบนั้น มากพอที่จะไปทำอย่างอื่น และท้ายที่สุดหวังเงินก้อนสุดท้าย ที่อาจจะมาจากราคาหุ้นของ JAS คราวนี้ ก็น่าจะดูไม่จืด ซึ่งแทบไม่มีธุรกิจหลักเหลืออีก
*** ราคาหุ้นกลุ่มลีสซิ่งใหญ่อย่าง MTC TIDLOR และ SAWAD กลับมาน่าสนใจ หลังจากที่มีสัญญาณว่า เฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย รวมไปถึงมีสัญญาณว่า อาจปรับลดดอกเบี้ยลงถึง 3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งหากเป็นจริง ก็จะทำให้หุ้นกลุ่มนี้ มีโอกาสที่จะกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีก หลังจากที่โดนกระแสดอกเบี้ยขาขึ้น กดเอาไว้นานเกือบ 3 ปี จนทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ราคาหุ้นผ่านทางมุมมองของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ก็ดูเหมือนว่า TIDLOR น่าจะมีภาษีดีกว่า เนื่องจากราคาหุ้นร่วงลงมามากกว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่ม โดยมีราคาเป้าหมายของ TIDLOR ที่นักวิเคราะห์ให้ไว้เฉลี่ยอยู่ที่ 27.29 บาท สูงกว่าราคาหุ้นหน้ากระดานเกือบ 20% ขณะที่ SAWAD มีราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ไว้เฉลี่ยอยู่ที่ 51.53 บาท สูงกว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน 22% ส่วนทาง MTC ที่ราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ให้ไว้เฉลี่ยที่ 43.92 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาหุ้นหน้ากระดานเช่นกัน
จังหวะต้นน้ำกลับมาแล้ว...จะชอบใจตัวไหนก็พิจารณากันตามความสะดวกไปเลยค่ะ
*** หลังจากที่ MGI เข้าซื้อขายในตลาดวันแรก ด้วยการเปิดราคาเหนือจอง ทำให้เจ๊เมาธ์คิดถึง JKN ของแอน จักรพงษ์ ขึ้นมาได้อีกครั้ง
ล่าสุดเจ๊เมาธ์เห็นข่าวว่า JKN ฟ้องกลับ บริษัท ที ซี จี โซเชียล มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (TCG) กรณี TCG แจ้งความเท็จเรื่องโรงงานเครื่องดื่ม และเหรียญจักรวาล โดยเรียกร้องค่าเสียหายมูลค่า 2,500 ล้านบาท หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทาง TCG ฟ้องเรียกค่าเสียหายในกรณีโรงงานเครื่องดื่มและเหรียญจักรวาลจาก JKN รวมมูลค่า 1,000 ล้านบาท
ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปแล้วว่า “ใครก็ตามที่วิจารณ์ “แอน” บนโลกออนไลน์ ก็มักจะมีทีมงานที่อ้างตัว “ทนายความ” ติดต่อไปหา” เพื่อกดให้เสียงวิจารณ์นั้น “ซาลง” โดยในกรณีของ TCG ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในความชัดเจนว่า ทีม “ทนายความ” ของ JKN ขยันทำงานมาก ส่วนเรื่องจะจบลงแบบไหน ก็คงต้องว่ากันตามข้อเท็จจริง ตามที่ศาลจะตัดสินออกมานั่นหละเจ้าค่ะ
*** เมื่อชัดเจนแล้วว่า DELTA ยังสามารถที่จะอยู่ใน SET50 ก็ทำให้หุ้นตัวนี้ กลับมาวิ่งแรงได้อีกครั้ง อย่างหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า เป็นเพราะผลการดำเนินงานที่ออกมาดีต่อเนื่อง ที่ทำให้นักลงทุนยังกล้าที่จะวิ่งตามหุ้นตัวนี้ต่อไป
ถึงแม้ว่า หากจะว่ากันตามตรงหุ้นที่มีมูลค่าทางการตลาดที่ใหญ่ที่สุดตัวนี้ ผลการดำเนินงานกลับไม่ได้ดีไปกว่าหุ้นที่อยู่ใน SET50 เช่นกันสักเท่าไหร่ อย่างที่สอง ก็คงเป็นเพราะหุ้นอย่าง DELTA ถือได้ว่าเป็นหุ้นที่จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก จนทำให้ใช้เงินไม่เท่าไหร่ ก็สามารถดันราคาหุ้นให้ขยับขึ้นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ซึ่งนั้นก็จะส่งผลไปถึงการลากดัชนีของตลาดฯ รวมไปถึงการเล่นรอบหุ้น DW ให้เกิดขึ้นตามมาด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลว่า ทำไมใครก็ทำอะไรหุ้นเทพอย่าง DELTA ไม่ได้นั่นเอง
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,949 วันที่ 17 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2566