ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI ของ “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” จะกลายเป็นหุ้นที่ทำให้ตลาดหุ้นไอพีโอ ที่กำลังตกต่ำในช่วงปลายปี 66 ที่ผ่านมา กลับมากลายเป็นหุ้นเก็งกำไรในแบบที่ไม่มีใครขวางได้
น่าสนใจว่าหุ้นนางงามรายนี้มีอะไรดี ที่สามารถดึงดูดให้นักลงทุนสนใจได้มากขนาดนี้
อย่างแรก ก็คงจะต้องเริ่มต้นมาจากการที่ MGI เข้าตลาดฯ มาด้วยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ล้วนแล้วแต่เป็นบิ๊กเนม ที่รู้กันอยู่ว่าแต่ละรายไม่ธรรมดา แม้ว่าท้ายที่สุดนักลงทุนแนววีไอชื่อดังเหล่านี้จะมีหลายคนทำตัวเป็น “วีไอเดือนเดียว” เพราะแอบขายหุ้นออกไปหมดแล้ว (ฮา) แต่ผู้ถือหุ้นที่เหลือก็ยังคงเกาะหุ้น MGI เอาไว้อย่างหนาแน่น
อย่างที่สอง ก็เป็นเรื่องโมเดลทางธุรกิจของ MGI ซึ่งพยายามดึงตัวเองให้หลุดออกไปจากรอบของบริษัท ที่มีเพียงเวทีประกวดนางงาม ด้วยการชูจุดขายในการทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ ด้วยการดึงเอานางงามที่อยู่ในสังกัด มาขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ พร้อมกับมีการอัพเดทรายได้แทบทุกวัน
ท้ายที่สุดน่าจะเป็นจุดแข็งที่สุดของ MGI ซึ่งก็คือ การใช้รูปแบบของการสื่อสารที่ตนเองถนัด ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์ หรือ การตอบโต้ โดยเฉพาะการตอบโต้ข่าวที่ไม่เป็นผลดีกับบริษัทฯ ไม่ต้องว่ากันอื่นไกล เอาแค่กรณีล่าสุดที่ “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” ออกมาโวยวายแถมขู่ฟ้องว่า ถูกสื่อใหญ่จากบางสำนักโจมตีบริษัทเกินจริง ซึ่งก็ส่งผลให้สื่อใหญ่รายที่ว่าถึงกับต้องเงียบไปได้เหมือนกันเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยหุ้นไอพีโอที่ถูกนำออกมาขาย เพียงไม่กี่สิบล้านหุ้น บวกด้วยการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่หลายรายจับมือกันแน่น โดยที่ยังไม่ยอมขายหุ้นออกมามากจนเกินไป ก็ทำให้ราคาหุ้นของ MGI น่าจะยังคงไปต่อได้อีกพอสมควร
แต่เจ๊เมาธ์ขอบอกเอาไว้ก่อนของแบบนี้มันไม่แน่...เพราะถ้าเกิดวันหนึ่งราคาหุ้นไปถึงในจุดที่มีกำไรจนดึงดูดใจผู้ถือหุ้นวีไอรายที่เหลือ ใครจะไปรู้ว่านักลงทุนวีไอที่ว่านี้ ก็อาจจะกลายเป็นวีไอสองเดือน หรือ วีไอสามเดือน ก็เป็นได้ ของแบบนี้มันไม่แน่เจ้าค่ะ
แม้ว่าล่าสุดราคาหุ้นของ KEX ขึ้นไปมากกว่า 6 บาท ในช่วงต้นปี หลังจากที่กลุ่มทุนใหญ่ที่ถือหุ้นอยู่ในต่างประเทศ เกิดการเปลี่ยนมือ พร้อมกับข่าวที่ว่า กลุ่มทุนนี้จะสยายปีกธุรกิจมาบุกตลาดไทย เพื่อหวังขนส่งสินค้าไทย-จีนโดยตรงรายแรก
แต่ปัญหาที่ขวางทางทำให้ราคาหุ้นของ KEX ไปได้ไม่ไกล กลับเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ จะต้องตั้งโต๊ะเทนเดอร์ในราคา 5.50 บ. ซึ่งสูงกว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน ในวันที่มีข่าวการเปลี่ยนมือนั่นเอง
ดังนั้น จนถึงตอนนี้เจ๊เมาธ์ก็ยังคงมองว่า ทิศทางราคาหุ้นของ KEX ยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ต้องไปมองถึงราคาไอพีโอ ซึ่งมีนักลงทุนติดดอยกันทั้งตลาดฯ เอาแค่กลับไปยืนอยู่ที่จุดสูงสุดที่ 6 บาทกว่าๆ เมื่อตอนต้นปีได้ก็เก่งมากแล้ว และถ้าหากมีความเปลี่ยนแปลงที่ดี...เจ๊เมาธ์ก็ไม่พลาดที่จะส่งสัญญาณให้แฟนๆ ของเจ๊รับรู้อย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้รอไปก่อนนะคะ ยังไม่มีอะไรดีขึ้นค่ะ
แม้ว่าในวันนี้ JTS แทบจะไม่เหลือธุรกิจที่เกี่ยวข้องอยู่กับบิตคอยน์อีกแล้ว แต่การที่ราคาหุ้นของ JTS ยังคงอิงอยู่กับราคาซื้อขายบิตคอยน์ อย่างที่เป็นอยู่ ก็คงจะทำให้ราคาหุ้นเหวี่ยงแรงจนเกินกว่าที่ใครจะควบคุมได้อยู่แบบนี้นั่นเอง
แน่นอนว่า หากจะมองให้เป็นข้อดีก็ต้องบอกว่า เรื่องแบบนี้ดีกับตัวของ JTS มากกว่าใครอยู่แล้ว อย่างหนึ่งก็เป็นเพราะว่า มีแรงขับดันให้ราคาหุ้นขยับไปได้ โดยที่บริษัทไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรมาก ถ้าไม่มีคำถามจากผู้คุมตลาดฯ เพียงแค่ปล่อยไปตามน้ำก็รอรับอานิสงส์จากราคาบิตคอยน์ไปเรื่อยๆ ส่วนผลดีอย่างที่สองก็คือ ทำให้บริษัทไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรมาก เนื่องจากด้วยผลการดำเนินงานเพียงแค่ที่เป็นอยู่ ก็คงจะไม่มีหวังที่ราคาหุ้นจะมาไกลได้แบบนี้นั่นเอง
แต่หากมองไปถึงข้อเสีย สิ่งที่เกิดขึ้นกับ JTS ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่เรียกว่า การบิดเบือนตลาดเต็มรูปแบบ เนื่องจากราคาหุ้นที่ปรับขึ้นโดยที่ไม่มีพื้นฐานรองรับ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ควรจะถูกเข้มงวดมากกว่าเรื่องอื่น
ขณะเดียวกัน การที่ราคาหุ้นของ JTS ปรับราคาขึ้นลงในแบบที่ไม่มีใครควบคุม ก็ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของผู้คุมกฎของตลาดว่า ไม่มีปัญญาทำอะไรไปโน้นเลยอีกด้วย
อย่างไรก็ตามจะไปคาดหวังให้ใคร แม้แต่ตลาดฯ เข้ามาดูแลทุกอย่างก็คงจะไม่ได้ ของแบบนี้ระวังและดูแลตัวเองก่อนเกิดปัญหา น่าจะดีที่สุดเพราะถึงเวลาเจ็บตัวขึ้นมา จะไปให้ใครมาช่วยเหลือก็คงไม่ได้เช่นกันค่ะ
หนึ่งในหุ้นที่เมาธ์บอกมาตลอดว่า ดีมากก็คือ หุ้นอย่าง AOT แน่นอนว่า นอกจากจะเป็นหุ้นผูกขาดที่คอยเก็บค่าต๋งโดยที่แทบจะไม่ต้องทำอะไร ก็ยังมีประเด็นของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามาในประเทศที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน เอาเป็นว่าถ้าไม่มองไปถึงเรื่องที่ AOT เคยมีปัญหาเรื่องที่เคยถูก Robot Trade แบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 66 ก็น่าจะไม่มีปัญหาสำหรับการ “ซื้อ...แล้วถือ” อย่าไปตามกระแสมากเกินไป... บอกเลยว่าหุ้นอย่าง AOT ถ้าไม่ขายก็ไม่ขาดทุนแน่นอนค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,959 วันที่ 21 - 24 มกราคม พ.ศ. 2567