*** หุ้น EA-NEX แม้ “สมโภชน์ อาหุนัย” บอสใหญ่ของ EA จะควงคู่ “หลิน” คณิสสร์ ศรีวชิระประภา บิ๊ก NEX ออกมาสยบข่าวลือ ซดเกาเหลา ที่ไม่รู้เหมือนกันว่า ใครกันแน่ออกมาปล่อยข่าว สมโภชน์-หลิน มีความขัดแย้งกัน จนทำให้หุ้น NEX ร่วง จนผู้ถือหุ้นใหญ่ถูกฟอร์ซเซล ลากเอา EA ร่วงตาม
ประเด็นคือทั้ง NEX และ EA ต่างก็ถือเป็นหุ้นที่อยู่ในเรดาห์ของนักเก็งกำไร ที่จ้องถล่มจนติดชาร์ตหุ้นที่ถูกชอร์ตเซลหนักมาก ผสมโรง Robot Trade กดดันราคาหุ้น EA ที่เคยอยู่ในระดับสูงกว่า 44.25 บาท/หุ้น ในสิ้นปี 2566 ลงมาทดสอบจุดต่ำสุดใหม่ที่ 24.90 บาท
ส่วน NEX จาก 10 บาท ลงมาแตะที่ 3.76 บาท ราคาลงหนัก ทั้งที่แนวโน้มรายได้ กำไร EA ยังคงเติบโตต่อเนื่อง แม้ไตรมาส 1/67 จะชะลอตัวลงเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ตอนนี้เจ๊เมาธ์ได้ยินพรายกระซิบส่งเสียงแว่วๆ มีการตามหา “ไอ้โม่ง” กันให้ควั่ก ใครทำอะไรเอาไว้ อย่ามาเสียใจที่หลังก็แล้วนะคะ เพราะอีกไม่นานก็คงได้รู้กันแล้วค่ะ
ภายหลัง KEX แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/67 ออกมาว่าขาดทุนเพิ่มอีก 1,188 ล้านบาท ซึ่งการขาดทุนรอบนี้หนักกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ขาดทุนอยู่ 790 ล้านบาท ส่งผลให้เพียงแค่ไตรมาสแรกของปี KEX ขาดทุนกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วทั้งปี และยังมีแนวโน้มว่า บริษัทแห่งนี้อาจจะขาดทุนต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 3 อีกด้วย
ก็เอาเป็นว่าตอนนี้แนวโน้มของธุรกิจการขนส่งสินค้า ซึ่งมีจำนวนผู้เล่น หรือ คู่แข่งที่เพิ่มมากขึ้น ความนิยมในการซื้อสินค้าออนไลน์ที่แผ่วลง รวมไปถึงต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด ต่างก็กลายเป็นปัญหาที่ KEX จำเป็นที่จะต้องใช้ทั้งความสามารถ และกำลังภายในที่สูงมากกว่าปกติ เพื่อที่จะผ่านพ้นจุดนี้ไปให้ได้ แต่กว่าที่จะถึงวันนั้น...ตอนนี้เจ๊เมาธ์ก็ยังถือว่าหุ้นอย่าง KEX เป็นหุ้นที่ยังคงต้องเว้นวรรคเอาไว้เหมือนกับที่เจ๊เมาธ์เคยบอกมาตลอด
*** CBG ด้วยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี ที่ออกมาสูงถึง 628 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วราว 150% (263 ล้านบาท) ในขณะที่มีรายได้จากการขายรวมเท่ากับ 4,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% แบ่งออกเป็นรายได้ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 2,838 ล้านบาท และรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอก จำนวน 1,823 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 รายการก็มีการปรับตัวขึ้นมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีฐานลูกค้ากลุ่ม CLMV เป็นฐานการสั่งซื้อที่กลับมาฟื้นตัวได้อย่างน่าสนใจ
และที่เจ๊เมาธ์ว่ามาทั้งหมด ก็ยังไม่ได้นับรวมเอาสินค้าใหม่ที่ดูเหมือนว่ากำลังเติบโตขึ้นมาช้าๆ อย่างเบียร์ “คาราบาว” และ “ตะวันแดง” เข้ามาเพิ่มเติม เนื่องจากเบียร์ของ CBG ยังจำเป็นที่จะต้องผ่านด่านทดสอบไม่ว่าจะเป็นจุดขาย และตัวแทนจำหน่ายที่ยังคงถูก “จ้าวตลาด” เตะสกัดอยู่ตลอดเวลา
แต่ก็อย่างว่ากว่าที่ CBG จะสามารถผ่านบททดสอบนี้ได้ ก็คงต้องใช้ทั้งเวลาและความสามารถ เอาเป็นว่าตอนนี้คงต้องรอเวลาและเจรจาไปก่อน บอกเลยว่าถ้าหาก CBG ก้าวข้ามผ่านจุดนี้ไปได้...งานนี้ก็น่าจะยาวและยาวมากๆ ด้วยเจ้าค่ะ
*** รอบนี้ดูเหมือนว่า JAS ของ “เสี่ยพิชญ์” น่าจะไม่ได้มาเล่นๆ เพราะหลังจากที่ไม่จ่ายปันผล ก็ทำให้ JAS มีเงินเหลือในระบบอยู่เกือบ 2 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ผลการดำเนินงานล่าสุด ก็พบว่า กลับมีกำไรเข้ามาราว 25 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าเงินจำนวนนี้อาจจะดูไม่มาก แต่หากมองกลับไปที่สินทรัพย์ ซึ่งมีเหลืออยู่ไม่กี่อย่าง ก็ทำให้เงินจำนวนไม่กี่ล้านบาทที่ว่า ดูมีค่าขึ้นมาไม่น้อย
อ้อ...อีกอย่างความเคลื่อนไหวล่าสุดของ JAS ที่เข้าไปซื้อ BBBIF สัดส่วน 5% ในราคาเฉลี่ยต่ำกว่า 6 บาทหลังขายให้ ADVANC ในราคา 8.50 บาท ก็ทำให้คาดเดาได้ว่า “เสี่ยพิชญ์” น่าจะกำลังว่าแผนทำอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน ก็เอาเป็นว่าในสายตาของเจ๊เมาธ์ ตอนนี้หุ้นอย่าง JAS เริ่มกลับมาน่าสนใจอีกครั้งแล้วค่ะ จับตาดูได้ของแบบนี้ไม่แน่เจ้าค่ะ