*** ภายหลัง GULF ของเสี่ยกลาง “สารัชถ์ รัตนาวะดี” ใช้เวลาหลายปี ผ่านกระบวนการทั้งการพูดคุยบนโต๊ะเจรจา และการแอบซุ่ม...แอบซื้อ จนในที่สุด GULF ก็ได้ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ INTUCH ในสัดส่วนถึง 41.80% และจนถึงตอนนี้ทั้ง GULF และ INTUCH ก็เดินหน้ามาถึงขั้นตอนของการควบรวมให้เป็นบริษัทเดียวกันในท้ายที่สุด
ว่าแต่ทำไม GULF และ INTUCH ถึงต้องรวมกันให้เหลือเพียงบริษัทเดียว ...เรื่องนี้เจ๊เมาธ์มองว่า น่าสนใจมาก!!!
สาเหตุแรก ที่ทำให้ทั้ง GULF และ INTUCH ต้องรวมตัวกันก็เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็น Holding Company (บริษัทที่มีรายได้จากการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทอื่นเป็นหลัก) ดังนั้น เพื่อลดการซ้ำซ้อนในการถือหุ้นของบริษัทลูก ที่ไขว้กันไปมาหลายชั้น ไม่ว่าจะเป็น THCOM หรือ ADVANC ทำให้บริษัททั้งสอง จำเป็นที่จะต้องรวมตัวกันเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมดูแล
สาเหตุที่สอง คือ ปัญหาที่เนื่องมาจากกลุ่มทุนเดิมในส่วนของ GULF กลุ่มทุนเดิมของ INTUCH ที่เมื่อแยกเป็นคนละบริษัท ต่างก็มีแนวทางในการบริหารงานในทิศทางของตนเอง ทำให้การกำหนดทิศทางในการดำเนินธุรกิจในอนาคตเป็นไปด้วยความลำบาก ดังนั้น การรวมตัวกัน เพื่อให้สามารถกำหนดทิศทางธุรกิจร่วมกันให้ชัดเจน การรวมกันจึงเป็นทางออกดีที่สุด
ท้ายที่สุด เป็นเรื่องของความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ซึ่งจะได้จากการควบรวมกิจการในครั้งนี้ โดยในส่วนของ GULF ก็เป็นบริษัทที่มีรายได้กว่า 80% มาจากธุรกิจพลังงาน ซึ่งส่งตรงเข้ามาสู่บริษัทแม่ แต่ในส่วนของ INTUCH กลับเป็นบริษัทที่มีมูลค่าซ่อนอยู่ เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ADVANC ซึ่งมีมูลค่าของสินทรัพย์ที่มากกว่า INTUCH ที่เป็นบริษัทแม่ ซึ่งถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 40% อยู่ใน ADVANC มากถึง 10 เท่า
ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงสรุปว่า การควบรวมกันระหว่าง GULF และ INTUCH จะเป็นการดึงเอาสตอรี่ที่น่าสนใจมากกว่าของ GULF เข้ามาผสมบริษัทซ่อนมูลค่า
แต่ว่าไม่มีสตอรี่อย่าง INTUCH เพื่อให้สามารถที่จะได้รับศักยภาพ จากมูลค่าสินทรัพย์และมูลค่าทางการตลาด (Market Cap) ของบริษัทลูกอย่าง ADVANC ให้ได้มากที่สุด จากที่เคยได้รับแต่ปันผลเพียงอย่างเดียว
ขณะเดียวกันการควบรวมของ GULF และ INTUCH ก็จะทำให้บริษัทใหม่แห่งนี้ มีความเป็นบริษัททางเทคโนโลยีที่มากขึ้น และทำให้สามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจดิจิทัลด้านอื่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ...ประมาณว่างานนี้มีแต่ได้กับได้นั่นเองค่ะ
*** เมื่อได้พูดถึงเรื่องการควบรวมกิจการของ GULF และ INTUCH ก็อดที่จะทำให้เจ๊เมาธ์นึกถึงการควบรวมกิจระหว่าง TRUE และ DTAC ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ เพราะแม้ว่า GULF และ INTUCH จะเป็นการควบรวมกิจการเช่นกัน แต่ทั้งสองบริษัทก็มาจากธุรกิจที่แตกต่าง รวมถึงเป็นบริษัทที่มีเรื่องของการถือหุ้นด้วยกันอยู่แล้ว ในลักษณะของบริษัทแม่บริษัทลูก
แตกต่างไปจากกรณีของ TRUE และ DTAC ซึ่งเป็นการรวมธุรกิจประเภทเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน และที่น่าสนใจคือ การควบรวมของ TRUE และ DTAC ก็คือการลดจำนวนของคู่แข่งในธุรกิจผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งแต่เดิมมีผู้เล่น 3 ราย คือ AIS TRUE และ DTAC
และเมื่อ TRUE และ DTAC รวมตัวกลายเป็นบริษัทเดียว จึงทำให้ผู้เล่นในตลาดลดลงไปเหลืออยู่เพียง AIS และ TRUE ซึ่งเป็นบริษัทใหม่ที่เกิดจาก TRUE และ DTAC
โดยปัญหาตามมา ก็คือความกังวลของผู้บริโภคที่มองว่า คู่แข่งทั้ง 2 อาจมีการฮั้วกัน เปลี่ยนจากคู่แข่งมาเป็นเพื่อนรวมทาง จนผู้บริโภคอาจเสียผลประโยชน์ที่ควรจะได้ ทำให้เกิดการร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นเหตุให้ขั้นตอน การควบรวมกิจการมีอันสะดุดในช่วงเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ภายหลังการควบรวมของ TRUE และ DTAC เสร็จสิ้นลง ก็พบว่า ทิศทางผลการดำเนินงานของ TRUE ก็มีแนวโน้มว่า จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ราคาหุ้นของ TRUE ก็มีทิศทางการปรับราคาดีขึ้นจาก 6 บาท มาเป็น 9 บาทต่อหุ้น หรือ 50% ซึ่งถือว่าสูงมาก ผิดไปจากเดิมที่ราคาหุ้นเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ได้สอดคล้องกัน เนื่องจากมีอยู่ 2 บริษัท
ดังนั้น เมื่อนำบทเรียนของการควบรวมกิจการของ TRUE และ DTAC มาเทียบกับการควบรวมกิจการของ GULF และ INTUCH ในมุมมองของราคาหุ้นก็จะพบว่า การรวมเป็นบริษัทเดียวกัน หากผลการดำเนินงานและสตอรี่มีความเหมาะสม ก็จะส่งผลให้ราคาหุ้นเป็นในทิศทางที่ดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรมาก ...เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้เจ้าค่ะ