*** แม้ตลาดหุ้นไทยจะเปิดการซื้อขายในวันแรกด้วยภาพรวมที่ไม่ค่อยสวย...แต่ก็สอดคล้องกับมุมมองจากที่หลายสำนักวิเคราะห์ ที่ต่างก็มองว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไทย “น่าจะไม่ค่อยดี” โดยประเด็นสำคัญนักวิเคราะห์ต่างเป็นห่วงมากที่สุด คือ ผลกระทบจากนโยบาย “ทรัมป์ 2.0”
พร้อมคาดหมายว่าดัชนี SET ในปี 2568 น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,520-1,660 จุด บน P/E 16-17.3 เท่า ที่แม้จะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่ก็คงไม่มีอะไรที่ถูกต้องที่สุดอยู่แล้ว
ดังนั้นการเริ่มต้นปีด้วยมุมมองที่หลากหลาย จึงเป็นสิ่งที่เจ๊เมาธ์เห็นว่ายังมีความจำเป็น!!!
เริ่มต้นที่นักวิเคราะห์ จาก บล.กสิกรไทย ที่ระบุว่า ภาพตลาดหุ้นในปี 2568 ยังไม่ต่างไปจากปี 2567 จากภาวะเศรษฐกิจซึม คาดเติบโต 2.4% ส่วนการส่งออกและการท่องเที่ยวมี Downside ขณะที่สินเชื่อของธนาคารยังชะลอการเติบโต
ด้าน กนง.คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง ราคาน้ำมันคาดจะปรับตัวลงเกือบ 10 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล มองว่า หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารไม่น่าสนใจ ให้เป้าหมายดัชนี SET ไว้ที่ 1,520 จุด คิดเป็น P/E 16 เท่า หุ้นที่แนะนำให้ลงทุนได้แก่ OSP TASCO TIDLOR และ PR9
ต่อมาคือ บล.ฟิลลิป มองว่า ตลาดหุ้นมีลุ้นฟื้นตัวขึ้นได้ตามแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่แบงก์ชาติคาดเติบโต 2.9% จากการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐ รวมถึงการส่งออกที่ขยายตัว ซึ่งภาคการท่องเที่ยวจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่เพิ่มกว่า 30% จากปี 2567 ยังจะส่งผลดี
ทั้งนี้ให้เป้าหมายดัชนี SET ปี 2568 เอาไว้ที่ 1,540 จุด คิดเป็น P/E 16 เท่า ธีมหลักที่น่าสนใจลงทุนเน้นท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอย Data Center การย้ายฐานการผลิต และการลงทุนของภาครัฐ โดยแนะนำหุ้น AOT HMPRO MTC TRUE AMATA GULF CK และ KTB
ขณะที่นักวิเคราะห์ จาก บล.กรุงศรี มองว่า ตลาดหุ้นยังมีโอกาสที่จะได้เห็นภาพบวกในครึ่งปีแรก จากปัจจัยในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตดี 2.9% เป็นปีที่การลงทุนภาครัฐ และเอกชนขยายตัวพร้อม ๆ กัน แต่ครึ่งปีหลังตลาดยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนนโยบายด้านภาษีของ “ทรัมป์” ซึ่งยังต้องประเมินสถานการณ์ต่อไป
พร้อมกันนี้ ยังให้เป้าหมายดัชนี SET ปี 2568 ที่ 1,660 จุด คิด P/E 17.3 เท่า ธีมการลงทุนเน้นการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก แนะนำหุ้น KBANK BBL HMPRO BJC AOT BTS IVL TRUE และ ADVANC
ส่วน บล.ลิเบอเรเตอร์ คาดว่า ในปี 2568 ตลาดหุ้นยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นแม้อาจเห็นผันผวนจากนโยบายของ “ทรัมป์” มองว่า ตลาดเอเชียก็จะเหนื่อย ส่วนตลาดในประเทศ ภาครัฐต้องพยายามเร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้มากกว่านี้
พร้อมตั้งเป้าดัชนี SET ไว้ที่ 1,600 จุด บน P/E 16.5 เท่า ส่วนหุ้นที่น่าสนใจคือ กลุ่ม Domestic พร้อมแนะนำหุ้น BH (Valuation น่าสนใจ) SAWAD JMT HMPRO (SSSG จะเป็นบวกได้ ในไตรมาส 4/2567 และหุ้นลงลึกมากพอควร) CRC (ตัวเลือกที่ดี ได้ประโยชน์จาก Easy E-Receipt) AMATA, WHA และ CCET (ปี 2568 จะเพิ่มโรงงาน และเปลี่ยนกำลังการผลิตทำสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง)
นักวิเคราะห์ จาก บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) คาดว่า ตลาดฯ จะแกว่งไซด์เวย์เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี คาดเติบโต 2.8-2.9% ขณะที่ปัจจัยนอกประเทศใน 6 เดือนแรกปี 2568 คาดหวังสหรัฐฯ จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลัง “ “ทรัมป์”เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ
สำหรับเป้าหมายดัชนี SET ปี 2568 มองไว้ที่ 1,540 จุด คิด P/E ที่ 16 เท่า หุ้นที่แนะนำลงทุนได้ คือ หุ้น BCP ราคาเป้าหมาย 45 บาท จากค่าการกลั่นดี และไม่มีประเด็นลบ IVL ราคาเป้าหมาย 38 บาท จากสเปรดฟื้นทั้ง PET PTA
นอกจากนี้ กลุ่มท่องเที่ยวยังเล่นได้ในไตรมาส 1 แนะนำ AOT ราคาเป้าหมาย 62 บาท และ MINT ราคาเป้าหมาย 33 บาท
นักวิเคราะห์ จาก บล.ทิสโก้ มองว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2568 ไม่ดี ความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายของ “ทรัมป์” ทำให้ Upside จำกัด ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อนมีน้อย จึงมองเป้าดัชนี SET ไว้ที่ 1,550 จุด คิด P/E ราว 16 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) 92 บาท เน้นลงทุนหุ้นที่มีความปลอดภัย แนะนำหุ้นปันผล และหุ้น Defensive แนะหุ้น BDMS BEM ADVANC SIRI และ TTB
ท้ายที่สุดเป็นนักวิเคราะห์ จาก บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง มองว่า การบริหารของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านการขาดดุลการคลัง และลดความต้องการในดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาล จากโอกาสกีดกันการค้าที่สูงขึ้น
ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว...ตลาดหุ้นไทยและจีนจึงกลายเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุน ที่มองหาความมั่นคงในระยะยาว
ทั้งนี้มองหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ หุ้นกลุ่มบริการและค้าปลีกเช่น BDMS CPN CPALL ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไป
ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงิน อย่าง KBANK SCB TTB KKP และ BLA ซึ่งมีแรงหนุนจากดอกเบี้ย และผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มนี้ตกเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม...อย่าไปคิดว่าถ้ามีแต่ปัญหาแล้วจะทำให้ไม่มีโอกาส
ก็อย่างที่เจ๊เมาธ์บอกไปแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นปีนี้ หรือปีไหนๆ การ “เล่นหุ้นด้วยหู” หรือการ “ฟังเขาว่ามา” จะไม่สามารถทำได้อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าใครต่างก็รู้ทันกัน
ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมากังวลให้มากเกินไป เพราะถ้าศึกษาข้อมูลให้ชัดเจน รวมไปถึงมีการวางแผนที่ดีก่อนการลงทุน ก็บอกเลยว่า โอกาสที่จะชนะตลาดได้ก็อยู่ไม่ไกลแล้วเจ้าค่ะ