ตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ในบทความสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือการ rebound ขึ้นมาแถวๆ 1,600 แต่หลังจากนี้คำถามที่นักลงทุนต้องคิดก็คือว่าตอนนี้ 1,600 แล้วเอาไงต่อ แน่นอนว่าผมยังคงมีมุมมองเหมือนเดิมก็คือมองสถานการณ์หุ้นไทยไม่ดีและโอกาสผ่าน 1,600-1,620 น้อย เพราะฉะนั้นผมคิดว่าสัปดาห์นี้โดยเฉพาะช่วงต้นสัปดาห์เป็นจังหวะปรับพอร์ต สิ่งที่ควรทำคือ
1.หากท่านที่ซื้อเพื่อเล่น rebound ตามผมบอกตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หากกำไรให้หาจังหวะขาย ถ้าหุ้นตัวที่ท่านถือไม่ได้เป็นหุ้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตลาด คำว่าหุ้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตลาด ในความหมายของผมคือ หุ้นที่ต่อให้ตลาดลงหุ้นตัวนี้ก็ไม่แกว่งตามตลาด ถ้าไม่เช่นนั้นผมแนะนำให้หาจังหวะทำกำไรหรืออย่างน้อยก็ขายส่วนหนึ่ง
2.หากท่านที่ขาดทุนอยู่ หากขาดทุนไม่ได้เยอะมาก เช่นไม่ถึง 4% และคิดว่าหุ้นตัวที่ท่านถือจะแกว่งตามตลาดให้ท่านลดความเสี่ยงโดยการ cut loss หรือในกรณีที่ท่านหาจังหวะในการ cut loss หุ้นตัวนั้นอยู่แล้ว ผมคิดว่าช่วงนี้แหละครับเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการปรับลดพอร์ต
3.หากท่านที่ตกรถซื้อไม่ทันตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วและไม่มีหุ้นอยู่ในพอร์ต ถือว่าสายไปแล้วในการซื้อ ควรอยู่เฉยๆ ดีกว่าและรอจับจังหวะตลาดใหม่ เพราะต่อให้ผมมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ไม่ค่อยดีแต่ผมก็คิดว่าจะมีจังหวะเพื่อให้เราเล่นได้เรื่อยๆ
ทำไมผมถึงมองหุ้นไทยไม่ผ่าน 1,600-1,620?
แน่นอนว่าต่อให้เรามอง fundamental ของระบบแบงก์ยักษ์ใหญ่ทางด้านระบบการเงินในต่างประเทศ เช่น อเมริกา หรือ สวิตเซอร์แลนด์ ไม่ได้แย่หรือจะเป็นวิกฤตแบบที่หลายๆ ท่านกลัว แต่เราอย่าลืมนะครับว่า ตลาดหุ้นไม่ได้อาศัยแค่ปัจจัยเชิงพื้นฐานอย่างเดียว แต่อาศัยความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดง่ายๆ ไม่มีนักวิเคราะห์คนไหน หรือโบรกไหนเท่าที่ผมเห็นมา มองว่าเหตุการณ์แบงก์ล่มจะมีผลกระทบมาแบงก์ไทยหรือต่อระบบการเงินไทย แต่ทำไมหุ้นไทยถึงลงเยอะกว่าตลาดหุ้นสหรัฐที่เป็นหนึ่งในประเทศต้นตอของการเกิดปัญหานี้? คำตอบง่ายๆ ก็คือความเชื่อมั่นของนักลงทุน หรือตลาดบ้านเรามีความเสถียรน้อยกว่าด้วยความเป็น emerging market หรือตลาดเกิดใหม่
และอีกคำถามที่ผมอยากตั้งก็คือ เรามั่นใจจริงๆ หรือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้จะไม่กระทบพื้นฐานเลย อย่าลืมนะครับว่า การที่จะทำให้เกิดวิกฤต สาเหตุของการที่แบงก์ล่มไม่จำเป็นต้องเกิดมาจากสาเหตุเดียวกัน มีแบงก์ 10 แบงก์ล่ม ต่อให้แต่ละแบงก์จะล่มมาจาก 10 สาเหตุ ก็สามารถทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาจนนำไปสู่แบงก์รันได้เหมือนกัน ไม่ต่างจากการที่ 10 แบงก์ล่มจากสาเหตุเดียว เพราะฉะนั้นไม่ว่าท่านจะคิดว่าความเสี่ยงในตลาดตอนนี้เป็น systematic risk หรือ unsystematic risk ผมคิดว่าก็สามารถนำไปสู่วิกฤตได้เหมือนกัน (แต่ย้ำว่าไม่ได้มองเป็นวิกฤต แต่กระทบ sentiment นักลงทุนในตลาด)
ยิ่งสาเหตุในการลงตอนเปิดตลาดของ Dow Jones เมื่อคืนวันศุกร์ต่อให้จะกลับมาปิดบวกก็ตาม หลักๆ แล้วมาจากความกังวลว่า Deutsche Bank ซึ่งเป็นแบงก์ใหญ่มากจะล่ม เพราะตัวราคาประกัน CDS ของตัวแบงก์ทำจุดสูงสุดใหม่ ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนของตลาด ว่าแค่มีข่าวออกมาก็สามารถกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ และต่อให้ส่วนตัวผมมองว่าถ้า Deutsche Bank ล่มจริงก็ต้องมีรัฐเข้ามาช่วย เพราะแบงก์ใหญ่ขนาดนี้ Too Big To Fail อยู่แล้ว แต่ก็ยังต้านทานแรงขายไม่อยู่
พอหากเรามาดูเชิง technical แล้ว ตามภาพคือภาพกราฟ Dow Jones จะเห็นว่า เป็นการยืนยันการเป็น double top หลังจากมีการ break neckline แถวๆ 32,600 ลงมา ซึ่งทางเชิงเทคนิคแล้วมีโอกาสลงมาแถวๆ 30,000 ต้นๆ แปลว่าสัปดาห์นี้ก็ยังลงได้อีก เพราะฉะนั้นถ้าหุ้นอเมริกาลงก็คงยากที่หุ้นไทยจะขึ้นแรง
หรือหากดูตลาดใหญ่อื่นๆ เช่น FTSE100 ของอังกฤษจะเห็นว่าก็มีโอกาสเป็นรูปแบบ Head&Shoulders ซึ่งหาก break neckline เมื่อไหร่ก็จะเป็นการยืนยันขาลงอีกอันหนึ่ง
สรุปสัปดาห์นี้
1.Setไม่น่าผ่าน 1600-1620
2.หาจังหวะปรับพอร์ต
3.เนื่องจากมองตลาดไม่ไปต่อหุ้นแนะนำสัปดาห์นี้ไม่มีครับ