กรณี EA จะทำลาย momentum ของ SET ??

หลังจากที่ SET ทะยานเกือบ 50 จุดตั้งแต่ต้นเดือนซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาหายใจหายคอของนักลงทุนหลังจากที่ SET ลงจาก 1600 มาเกือบหลุด 1300 คงไม่ต้องถามว่าคนที่ถือหุ้นมาขาดทุนไหม มีแต่ขาดทุนน้อยหรือมากเท่านั้นซึ่งการเป็นหนึ่งในตลาดที่ underperform ที่สุดในโลกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็น CPI ที่พึ่งประกาศ ผลประกอบการ Bank กลุ่มแรกก็ in line การกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะมา เช่น digital wallet ราคาน้ำมันโลกที่เริ่มทรงตัว เงินบาทที่กลับมาแข็งค่า ฝรั่งที่เริ่มหยุดขาย กลุ่มไฟฟ้าที่เริ่ม rebound กลับมาแรงจากค่า ft การท่องเที่ยวที่ตัวเลขออกมาน่าพอใจ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ SET กำลังตามหาคือ “ความเชื่อมั่น”

สำหรับผมที่ย้ำมาตลอดว่าความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นไทย ณ ตอนนี้คือสิ่งสำคัญกว่าตัวเลขต่างๆ หรือแม้กระทั่งการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะหากจะนับแค่ fundamental คงไม่มีใครกล้าบอกว่า SET แพง ต่อให้หุ้นที่อยู่ใน SET จะชอบถูกเรียกว่าหุ้นที่ทำธรุกิจตกยุคก็ตาม ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ดูเหมือนว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะค่อยๆ กลับมาจนกระทั่งการเข้ามาของข่าวเมื่อวันศุกร์ตอนตลาดปิด ขอย้ำว่า “ตอนตลาดปิด” ของ EA 

การเกิดเหตุการณ์นี้ผมขอไม่พูดเชิงกฎหมายแต่ขอพูดแต่ในเชิงการลงทุนว่าความเสียหายครั้งนี้จะส่งผลต่อตลาดแน่ๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะมากน้อยแค่ไหนและขึ้นอยู่กับว่าจะส่งผลต่อดัชนีรวมหรือไม่ เพราะกรณีนี้ส่วนตัวผมมองว่าหากสุดท้ายชื่อ EA โดน sp ตามกรณี stark กรณีนี้จะทำลายความเชื่อมั่นมากกว่า อย่าลืมว่านอกจากพื้นฐานที่ดีมากยังมีการก้าวเข้าสู่โลกยุคใหม่อย่างธรุกิจ EV ที่มาเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนจนทำให้ราคาขึ้นไปเลข 3 หลัก ก่อนจะตีลงมาสู่หลัก 10 และที่สำคัญที่สุดกรณีอื่นๆ ยังพอใช้คำว่าเจ็บแล้วจบหรือเกือบจบ แต่กรณีนี้เจ็บแล้วเจ็บอีก

เพราะหากดูช่วงเวลาตามภาพจะเห็นว่ากรณีนี้ใช้เวลา 2-3 ปีกว่าจะมาถึงจุดนี้และต่อให้ถึงจุดนี้ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจบไหม และหากมองย้อนดูตั้งแต่จุดสูงสุดลงมามีนักลงทุนรายย่อยกี่ท่านที่ซื้อและมีกี่ท่านที่ลงมาแล้วถัวเพิ่มเพราะเชื่อในพื้นฐานของบริษัท ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าต่อให้ตอนราคาอยู่ 100 ผมจะบอกหมดรอบก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านจนราคาลงมาระดับช่วง 40 บาท ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยเชียร์ด้วยซ้ำ จนแม้กระทั่งเคยนำไปพูดในงานสัมมนาของผมเอง และผมเชื่อว่าก็ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวเพราะหากดูตามข้อมูลที่มี EA ถือเป็นหนึ่งในตัวที่น่าสนใจมากและลองนึกภาพว่าหากมีนักลงทุนที่ซื้อและถัวมาตั้งแต่ราคาหลักร้อยตาม fundamental ของการดูพื้นฐานที่ไม่ได้มี technical มาเกี่ยวข้องความเสียหายจะเป็นระดับไหนและสำหรับบางคนอาจเป็นเงินเก็บทั้งชีวิต
 

กรณีนี้ผมไม่อยากให้โทษว่า fundamental หรือ technical ดีกว่าเพราะก็มีหลายครั้งและคนที่เราเห็นตัวอย่างการสำเร็จจากการลงทุนทั้ง 2 แบบ หรือแม้กระทั่งไปโทษว่าพี่ๆ นักวิเคราะห์ท่านไหนที่เชียร์ซื้อตอนราคาสูงผิด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นผมนับว่าเป็น unsystematic risk ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ลองนึกภาพดูว่า ณ ราคาตอนนี้หากไม่มีเรื่องนี้เข้ามาใครจะกล้าพูดว่า EA ไม่มีอนาคตหากพิจารณาตามธรุกิจและ rating ของบริษัทในด้านต่างๆ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเราควรชี้ผู้ร้ายให้ถูกตัวและเรียก “ความเชื่อมั่นกลับมา” ก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้ ย้ำว่าสายไปมากกว่านี้ไม่ใช่สายเกินไป เพราะตอนนี้สายเกินไปมากแล้ว และผมเชื่อว่านี่ก็จะไม่ใช่กรณีสุดท้าย สุดท้ายนี้สิ่งที่นักลงทุนควรได้รับไม่ใช่แค่การหาคนผิดหรือเปิดโปงสิ่งที่ผิดแต่การรับผิดชอบของ wealth ที่เสียไปไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งคือสิ่งที่นักลงทุนสมควรจะได้ ไม่อย่างงั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่คนรุ่นใหม่จะทิ้งตลาดหุ้นไทยไว้ข้างหลังหรือเราอยากให้การเกิดกรณีแบบนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนลงทุนนอกเหนือจากตัวธรุกิจของบริษัทที่เป็น public information ?

ตัดภาพมาการเคลื่อนไหวของหุ้น EA เนื่องจากมีคนถามผมเยอะมากว่าถ้าติดหุ้นอยู่ต้องทำยังไง? จริงๆ หากดูแค่ข้อมูลและสิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังเร็วไปที่จะบอก แต่หากคนที่พึ่งซื้อในราคาแถวนี้ถ้าเป็นผมคงหวังให้เปิดไม่ floor สนิทและมีแรงเก็งกำไรจากสายเก็งกำไรเข้ามา แต่สำหรับคนทุนสูงมากๆ ถ้าขายตอนนี้คงเหมือนโยนเงินทิ้งคงต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ส่วนตลาดรวมสิ่งที่เราต้องสังเกตต่อสัปดาห์หน้าหน้ายังคงเป็นตัวเลข 1330 ที่ต้องดูว่าจะผ่านได้ไหมซึ่งยังเป็นไอเดียเดิมๆ เรื่องดีคือว่าต่อให้จะมีกรณี EA แต่สัปดาห์ที่แล้วหุ้นหลายๆ ตัวยังคอยสลับกันมาพยุงตลาดได้และหวังว่าสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างงั้นต่อ หากเปรียบเป็นรถที่พึ่งเริ่มออกก็หวังว่า SET จะไม่รีบแหกโค้งและหากพ้นโค้งนี้ไปได้หวังว่าจะเหลือน้ำมันมากพอให้ขับไปไกลๆ ได้ สิ่งที่ควรทำยังคงมีหุ้นติดพอร์ตตามแผนเดิม

หุ้นแนะนำ

MASTER ซื้อ 60-61 การต่ำกว่า 59.25ต้อง cut loss กรณีขึ้นราคาเป้าหมาย 74 บาท