เคล็ดลับจัดพอร์ตหุ้น US ฉบับมืออาชีพ

24 ต.ค. 2567 | 03:19 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ต.ค. 2567 | 03:37 น.

เคล็ดลับจัดพอร์ตหุ้น US ฉบับมืออาชีพ คอลัมน์ SUPER TRADER โดย โค้ช โค้ชจีรศักดิ์ สิงห์เทพ Super Trader

KEY

POINTS

  • การลงทุนในหุ้นอเมริกาเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ หากคุณสนใจที่จะลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และต้องการกระจายความเสี่ยงให้มากขึ้น
  • ตลาดหุ้นอเมริกามีการเคลื่อนไหวตามข่าวสารและเหตุการณ์ระดับโลก นักลงทุนควรติดตามข้อมูลอยู่เสมอ 

เคล็ดลับจัดพอร์ตหุ้น US ฉบับมืออาชีพ คอลัมน์ SUPER TRADER โดย โค้ชจีรศักดิ์ สิงห์เทพ Super Trader

 

การลงทุนในหุ้นอเมริกาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างโอกาสและกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เนื่องจากตลาดหุ้นอเมริกาถือว่าเป็นตลาดที่มีความมั่นคงและมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นแหล่งรวมบริษัทชั้นนำของโลกที่มีนวัตกรรมและศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Tesla และ Google

 

ข้อดีของการลงทุนในหุ้นอเมริกา


1. ศักยภาพในการเติบโตสูง - บริษัทในอเมริกามีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
2. การกระจายความเสี่ยง - การลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาจะช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายการลงทุนไปในหลายอุตสาหกรรมที่หลากหลายและมั่นคง
3. สภาพคล่องสูง - ตลาดหุ้นอเมริกามีขนาดใหญ่และมีปริมาณการซื้อขายสูง ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นได้สะดวกและรวดเร็ว
4. ข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย - นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลของบริษัทต่างๆ ในตลาดหุ้นอเมริกาได้ง่าย และมีการรายงานผลประกอบการเป็นประจำ ทำให้สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. เมื่อสภาพคล่องเพียงพอ ในเรื่องของข้อมูลเชิงสถิติจะเป็นจริงเสมอ เช่น Trend หรือ Price Pattern ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Continue หรือ Reversal Pattern

โค้ชจีรศักดิ์ สิงห์เทพ Super Trader

 

 

สิ่งที่ควรระวังก่อนการลงทุนในหุ้นอเมริกา


1. ความผันผวนของค่าเงิน - การลงทุนในหุ้นอเมริกาจะต้องใช้เงินดอลลาร์ (USD) หากค่าเงินไทย (THB) อ่อนค่าลง นักลงทุนอาจได้กำไรจากส่วนต่างของค่าเงิน แต่หากค่าเงินแข็งตัวขึ้น อาจทำให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
2. ศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสาร - เนื่องจากตลาดหุ้นอเมริกามีการเคลื่อนไหวตามข่าวสารและเหตุการณ์ระดับโลก นักลงทุนควรติดตามข้อมูลอยู่เสมอ เพื่อประเมินสถานการณ์และแนวโน้มการลงทุน

 

เหตุการสำคัญที่จะเกิดเร็วๆนี้ คือวันที่ 5 พฤศจิกายน


การเลือกตั้งในอเมริกาถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะนโยบายของผู้ชนะการเลือกตั้ง (ทั้งประธานาธิบดีและสมาชิกสภาคองเกรส) มักส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและการบริหารประเทศในหลายด้าน เช่น นโยบายภาษี การค้า กฎระเบียบ การใช้จ่ายภาครัฐ และการเงิน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถกระทบต่อมูลค่าหุ้นของบริษัทต่างๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นได้

ผลกระทบของการเลือกตั้งต่อตลาดหุ้นอเมริกา


1. ความผันผวนในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง - ตลาดหุ้นมักจะมีความผันผวนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากนักลงทุนไม่แน่ใจว่านโยบายของผู้ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีจะส่งผลดีหรือร้ายต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ผลการเลือกตั้งยังสามารถสร้างความผันผวนให้กับตลาดในช่วงหลังจากการประกาศผลอย่างชัดเจน
2. นโยบายการคลังและภาษี - หากผู้ชนะการเลือกตั้งสนับสนุนการลดภาษีและกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ ตลาดหุ้นมักจะตอบรับในทางบวก เพราะนโยบายเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจและเพิ่มผลกำไรของบริษัท แต่หากมีนโยบายขึ้นภาษีหรือควบคุมการใช้จ่ายที่เข้มงวด นักลงทุนอาจมองว่านโยบายเหล่านี้เป็นปัจจัยลบและทำให้เกิดการขายหุ้น
3. นโยบายการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ - การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เช่น การกำหนดภาษีศุลกากรหรือข้อจำกัดทางการค้า สามารถกระทบต่อบริษัทที่พึ่งพาการนำเข้า-ส่งออกอย่างมาก ตัวอย่างเช่น หากมีนโยบายกีดกันทางการค้า ตลาดหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรมที่พึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศอาจได้รับผลกระทบ
4. นโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและพลังงาน - หากประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกตั้งมีนโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาดและควบคุมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเชื้อเพลิงฟอสซิล บริษัทในกลุ่มพลังงานสะอาดอาจได้รับประโยชน์ ในขณะที่บริษัทพลังงานดั้งเดิมอาจได้รับผลกระทบในทางลบ

 

กรณีศึกษา: การเลือกตั้งปี 2020


ในการเลือกตั้งปี 2020 ระหว่าง โจ ไบเดน และ โดนัลด์ ทรัมป์ ตลาดหุ้นอเมริกามีการตอบสนองอย่างชัดเจนต่อนโยบายของผู้สมัครทั้งสองฝ่าย โดย โจ ไบเดน เน้นนโยบายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและพลังงานสะอาด ซึ่งทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานสะอาดปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ ทรัมป์ ยังคงเน้นการลดภาษีและการสนับสนุนอุตสาหกรรมดั้งเดิม ซึ่งทำให้หุ้นในกลุ่มการผลิตและน้ำมันปรับตัวดีขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง

การคาดการณ์ผลการเลือกตั้งในอเมริการอบนี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา รวมถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ นโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ และแนวโน้มการสนับสนุนจากประชาชน แต่จากแนวโน้มที่เห็นในช่วงที่ผ่านมา สามารถสรุปเป็นประเด็นหลักได้ดังนี้:

1. ผลงานและความนิยมของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน

  •  หากประธานาธิบดีคนปัจจุบันมีผลงานที่โดดเด่นและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดี โอกาสในการกลับมาชนะการเลือกตั้งอีกครั้งก็จะสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม หากมีปัญหาทางเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเงินเฟ้อ หรือปัญหาสังคมอื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็อาจทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเปลี่ยนใจสนับสนุนผู้ท้าชิงจากพรรคตรงข้าม
  •  ผลงานด้านการจัดการกับปัญหาที่เร่งด่วน เช่น การจัดการกับโรคระบาด การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการสร้างงาน จะมีผลสำคัญต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

2. การแข่งขันระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน

  •  พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมีนโยบายที่ต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง พรรคเดโมแครตมักเน้นนโยบายสังคมและสิ่งแวดล้อม ในขณะที่รีพับลิกันมักเน้นนโยบายเศรษฐกิจ การลดภาษี และการสนับสนุนธุรกิจ หากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งต้องการการเปลี่ยนแปลง พวกเขาอาจจะหันไปสนับสนุนพรรคที่นำเสนอนโยบายใหม่ๆ ที่แตกต่างจากที่ใช้อยู่ปัจจุบัน

3. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ

  •  สถานการณ์ทางเศรษฐกิจถือเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักอย่างมากในการเลือกตั้งครั้งนี้ หากเศรษฐกิจของอเมริกามีการฟื้นตัวและอัตราการว่างงานลดลง อาจเป็นข้อได้เปรียบให้กับประธานาธิบดีคนปัจจุบัน แต่หากเศรษฐกิจยังคงประสบปัญหา เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูง ราคาน้ำมันที่แพง หรือปัญหาซัพพลายเชน อาจทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งต้องการเปลี่ยนผู้นำที่มีแนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้


ผลการสำรวจความคิดเห็นล่าสุดแสดงให้เห็นว่า การแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 ระหว่างรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส (พรรคเดโมแครต) และอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (พรรครีพับลิกัน) ค่อนข้างสูสี โดยภาพรวมทั่วประเทศ แฮร์ริสนำอยู่เพียงเล็กน้อยที่ประมาณ 2-3 เปอร์เซ็นต์ 

ในช่วงนี้จะมีหุ้น 2 ตัวที่ออกมาสนับสนุนการเมืองอย่างเห็นได้ชัดคือ TSLA สนับสนุน ทรัมป์ และ MSFT สนับสนุน กมลา 

ดังนั้น การลงทุนในหุ้นอเมริกาจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณสนใจที่จะลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และต้องการกระจายความเสี่ยงให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การทำการศึกษาวิเคราะห์ ติดตามข่าวเศรษฐกิจ แต่มุมมองในฝั่งหรือ เทคนิคคอล บริเวณนี้ถือว่าเป็น โซนในเก็งกำไร Day Trade หรือ Swing รอบสั้น ไม่ใช่ลงทุน ยังไงต้องอย่าลืมพิจารณาถึงความเสี่ยงกันด้วยนะครับ และ การวางแผนก่อนการลงทุนนั้นยังคงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การลงทุนประสบความสำเร็จและเติบโตในระยะยาว