ชัดขึ้นเรื่อยๆ กับ “พายุเศรษฐกิจ” ที่กำลังเคลื่อนตัวถล่มโลกแบบใครก็หยุดไม่ได้ กลางสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของทางการสหรัฐฯ ปรับขึ้นจากระดับ 0% เมื่อปีก่อน ไปอยู่ที่ 3.25% สูงสุดนับแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก เมื่อปี 2551 และแนวโน้มยังจะต้องขึ้นต่อไปอีกเพื่อสู้กับเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี
ตามด้วยคำประกาศระดมพล ของประธานาธิบดี ปูติน เพื่อเปิดศึกรอบใหม่ในสมรภูมิยูเครน หลังจากที่ตะวันตกประโคมชัยชนะของกองทัพเคียฟ ที่สามารถยึดพื้นที่คืนจากทหารรัสเซียได้เป็นจำนวนมาก ว่าเป็นจุดเริ่มต้นสู่ความปราชัยของมอสโคว การเตรียมโจมตีระลอกใหม่ของรัสเซียเท่ากับความขัดแย้งนี้ยังไม่จบ วิกฤตอาหารและพลังงานยังมีความเสี่ยงต่อไป เร่งปฏิกิริยาพายุเศรษฐกิจเขย่าโลกให้ปั่นป่วนหนักข้อขึ้น
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ฉายภาพ Perfect Storm 3 ระลอก ว่า ระลอกแรก ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง คือ “นักลงทุน” ในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งคริปโตเคอร์เรนซี หุ้น พันธบัตร คอมมอนิตี้ ค่าเงิน ที่เจอมาตั้งแต่ต้นปีนี้ เรียกว่ารอบ “Investment Storm”
ระลอกสอง คือรอบของผู้ผลิต และลูกจ้างพนักงาน คือ บริษัท ห้างร้าน ภาคธุรกิจ ภาคก่อสร้าง ตลอดจน ภาคบริการ ที่เรียกกันว่า ภาคเศรษฐกิจจริง ที่จะเจอปัญหาออเดอร์ลด ต้นทุนพุ่ง ขาดสภาพคล่อง
จากนั้นแรงกระทบจะส่งผ่านเป็นระลอก 3 ถึงระดับประเทศ ที่ชาติกำลังพัฒนาต่าง ๆ จะถูกทดสอบภูมิคุ้มกัน ว่าแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน จากที่ส่งออกไม่ได้ ขาดดุลการค้า ขาดดุลการคลัง สูญเสียเงินสำรอง ลดอันดับ ใครไม่ไหวต้องเข้าไปขอความช่วยเหลือจาก IMF ซึ่งนายกอบศักดิ์ชี้ว่าระลอกนี้ หลายประเทศในเอเซีย แม้จะแข็งแกร่ง ฐานะดี แต่สุดท้ายไม่พ้นโดนหางเลขจากมรสุม
หลังพายุผ่านช่วงเก็บกวาดความเสียหายก็ยังมีความเสี่ยง ช่วงฟื้นฟูเพื่อกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ดอลลาร์ที่แข็งขึ้นไปมากกลับลงมา ดอกเบี้ยปรับลด แต่จากที่ขึ้นสูงไปมาก ขาปรับลดยังจะเขย่าตลาด ให้ผันผวนและสร้างโอกาสในตลาดการเงินโลกอีกรอบเป็นการส่งท้าย
จากนั้นที่ระเนระนาดจะค่อย ๆ ทยอยฟื้นเป็นลำดับ นำโดยสินทรัพย์ในประเทศพัฒนาแล้ว เมื่อนักลงทุนคิดว่าภาวะแย่สุดผ่านไปแล้ว ส่วนสินทรัพย์ของประเทศเกิดใหม่บางประเทศ คงต้องรอให้ระลอก 3 พัดผ่านไปบางส่วนก่อน ซึ่ง 3 ระลอกในจะใช้เวลา 2-3 ปี “ซึ่งจะเป็นทั้งวิกฤตที่แรง และโอกาสที่ดีที่สุดในรอบหลายๆปี”
แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าสังคมไทย “เตรียมพร้อมดีแค่ไหน”