ดัชนีตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้น ตั้งแต่ต้นปีตกลงมาอย่างหนักตามตลาดหุ้นแนสดัก และตกลงมาต่ำสุดถึงประมาณ 30% ก่อนที่จะเริ่มปรับตัวขึ้น และเฉพาะในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วถึงประมาณ 14%
.
หุ้นเท็คยักษ์ใหญ่หลายตัวปรับตัวขึ้นแรงมาก หุ้น BABA หรืออาลีบาบาปรับตัวขึ้นถึง 42% ในเวลาเพียงเดือนเดียว และนี่ก็คือหุ้นที่ผมเคยเขียนถึงเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ว่าราคาหุ้นได้ตกลงมามากจนค่า PE เหลือเพียง 17 เท่า ในขณะที่หุ้นก็ยังแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ ดังนั้น มันอาจจะกลายเป็นหุ้น Value ไปแล้ว เช่นเดียวกับหุ้น TENCEN ที่ราคาวิ่งขึ้นไป 17% ในเวลาเพียงเดือนเดียวเช่นเดียวกัน
.
คำถามที่น่าสนใจก็คือ แล้วหุ้นเท็คยักษ์ใหญ่ของโลกที่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดอยู่ในตลาดหุ้นอเมริกา หรือหุ้น “ยิ่งใหญ่” อื่น ๆ ในตลาดหุ้นอื่นเล่า ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเข้าไปช้อนซื้อหุ้นและหวังว่ามันจะเริ่มปรับตัวขึ้นไปโดดเด่นแบบที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีนในช่วง 1- 2 เดือนที่ผ่านมา
.
ลองมาดูกันว่าหุ้นแต่ละตัวน่าสนใจที่จะช้อนซื้อมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่ผมจะดูก็คงคล้าย ๆ กับกรณีของหุ้นจีนนั่นก็คือ ดูว่าหุ้นได้ตกลงมาจากจุดสูงสุดมากน้อยแค่ไหน ธุรกิจแข็งแกร่งและ/หรือยังเติบโตมากน้อยแค่ไหน ราคาหุ้นวัดจากค่า PE เป็นอย่างไร ถ้าหุ้นตกมาแรงมาก ธุรกิจยังแข็งแกร่งและไม่ถดถอยลงในระยะยาว และค่า PE ต่ำ หรือไม่เกิน 20-30 เท่า ผมคิดว่าการช้อนซื้อลงทุนระยะยาวก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีและมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ใช้ได้ อย่างน้อยน่าจะได้ซัก 10% แบบทบต้นในระยะยาวอย่างน้อย 5 ปี ข้างหน้า โดยที่เราจะไม่สนใจเรื่องของเศรษฐกิจและภาวะวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีก
เริ่มที่ตลาดหุ้นอเมริกาที่หุ้น NETFLIX ซึ่งผมคิดว่าหุ้นตกลงมาหนักที่สุดบริษัทหนึ่งคือตกลงมาจากจุดสูงสุดถึงประมาณ 72% จาก เกือบ 700 เหรียญเหลือ 191 เหรียญเมื่อ 2-3 วันก่อน ค่า PE อยู่ที่ 17.3 เท่า ในขณะที่ผมคิดว่าธุรกิจของเน็ตฟลิกนั้นก็น่าจะยังแข็งแกร่งและแข่งขันได้ทั่วโลก และความต้องการสินค้าหรือบริการของเน็ตฟลิกนั้น น่าจะยังมีอยู่ต่อไปและไม่ลดลงในหลาย ๆ ปีข้างหน้า
หุ้นเฟซบุคหรือ META ตกลงมาจากจุดสูงสุดที่ประมาณ 379 เหรียญเหลือเพียง 171 เหรียญหรือลดลงประมาณ 55% ในเวลาไม่ถึงปีเช่นเดียวกัน และค่า PE ก็ลดต่ำลงจนแทบไม่น่าเชื่อเหลือเพียง 12.7 เท่า กลายเป็นหุ้น Value ไปแล้ว ในขณะที่ตัวธุรกิจเองนั้นผมคิดว่าเราคงใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทต่อไปเรื่อย ๆ นี่เป็นเรื่องของ Network Effect ที่ลูกค้าไม่ย้ายหรือหนีไปไหนได้ง่ายเพราะเขาต้องการที่จะติดต่อกับคนที่ใช้เครือข่ายสังคมนี้เหมือนกัน
.
หุ้น AMZN อะมาซอนตกลงมา 38% จาก 186 เหลือ 116 เหรียญ แต่ราคาหุ้นนั้นยังถือว่าแพงมาก มีค่า PE 56 เท่า และเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้น บาบา ที่คล้าย ๆ กันแต่มีค่า PE 35 เท่า ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าหุ้นอะมาซอนนั้นน่าซื้อหรือยัง แต่ในความรู้สึกก็คือ หุ้นนี้ยังไม่น่าจะเป็นหุ้น Value ที่เน้นว่าหุ้นต้องถูก
หุ้น GOOG กูเกิลหรืออัลฟาเบ็ท ซึ่งในความรู้สึกของผมก็คือ เป็นธุรกิจสุดยอดในแง่ของความแข็งแกร่งที่ไม่ค่อยมีตัวเทียบและโอกาสถูกทำลายก็ยากมาก และมันเป็นที่รวมความรู้ของโลกที่ทุกคนต้องใช้ พูดกันถึงขนาดว่าต่อไปเวลาจะเรียนรู้หรืออยากจะรู้อะไรก็ให้ถาม “อากู๋” อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นตกลงมาจาก 2,999 เหรียญ เหลือ 2,371 เหรียญหรือลดลง 21% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นเท็คอื่น แต่ราคาหุ้นก็ไม่แพงเลย ค่า PE เท่ากับ 21.4 เท่า พอ ๆ กับหุ้นธรรมดา ๆ ในตลาด
หุ้นไมโครซอฟท์ MSFT ต้องถือว่าเป็นหุ้นที่มั่นคงที่สุดในแง่ของเท็คเนื่องจากว่าคอมพิวเตอร์ทุกตัวต้องใช้ ราคาร่วงลงมาจากสูงสุดที่ 26.23 เป็น 20.25 เหรียญหรือลดลง 23% โดยมีค่า PE ที่ 26.64 เท่า ซึ่งก็น่าจะเรียกว่าสมเหตุผล และไม่แพงเพราะกิจการคงจะอยู่ไปได้เรื่อย ๆ และก็น่าจะยังเติบโตต่อไปอย่างช้า ๆ ตามการใช้คอมพิวเตอร์ของโลก
.
หุ้น AAPL หรือแอ็ปเปิล ตกลงมาจาก 179 เหรียญเป็น 142 เหรียญ หรือลดลง 21% พอ ๆ กับหุ้นกูเกิลและไมโครซอฟท์ ในขณะที่ค่า PE เท่ากับ 23 เท่า ซึ่งก็ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับเงินสดในบริษัทที่มีมากมาย อย่างไรก็ตาม ผมเองคิดว่ามองไปในอนาคตไกล ๆ ความแข็งแกร่งก็ยังน่าจะเป็นรองหุ้นทั้ง 2 ตัวนั้น เพราะมีโอกาสที่เท็คโนโลยีมือถือเปลี่ยนมากกว่าเรื่องของซอฟท์แวร์ที่คนจะติดมากกว่า
.
หุ้น LVMH หรือหุ้นเจ้าของหลุยส์วิตตอง เป็นหุ้นยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่หุ้นเท็คเลย แต่ยิ่งใหญ่ในสายตาของลูกค้าทั่วโลกที่ผมคิดว่าหาคนแข่งยากพอ ๆ กับหุ้นเท็ค ราคาหุ้นตกจาก 734 เหรียญเป็น 587 เหรียญหรือลดลง 20% ทั้ง ๆ ที่ในยามวิกฤติโควิดและรวมถึงเรื่องของเงินเฟ้อนั้น สินค้าของบริษัทก็ยังขายดีมาก คนยังต้องเข้าคิวเพื่อเอาเงินไปจ่ายให้กับร้าน ราคาหุ้นล่าสุดเองก็ไม่แพง ค่า PE อยู่ที่ 24.6 เท่า
ทั้งหมดนั้นผมไม่ได้ชวนให้นักลงทุนซื้อหุ้น ผมเองก็ยังไม่ได้ซื้อเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคิดว่าตนเองอาจจะเก่งไม่พอในการวิเคราะห์เทียบกับคนอื่นในตลาดที่มักเป็นมืออาชีพที่มักจะเรียนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกและทุ่มเทเวลา 100% ในการศึกษาติดตาม
.
อย่างไรก็ตาม ผมก็คิดว่าในยามที่เกิดวิกฤติ คนมักจะกลัวและไม่อยากจะซื้อหุ้นลงทุนในยามนี้ซึ่งอาจจะทำให้หุ้นมีราคาถูกกว่าปกติ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมเองก็ยังมีหุ้นในตลาดหุ้นเวียตนามที่ผมเห็นว่าก็มีโอกาสที่จะเลือกหุ้นที่ “ยิ่งใหญ่ในเวียดนาม” และทำเงินได้ดีในอนาคตอยู่แล้ว