ดัชนีตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาตกกันระเนระนาดอานิสงค์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของสหรัฐเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนและสาเหตุอื่น ๆ อีกหลายเรื่องที่ประดังกันเข้ามาพร้อมกันจนบางคนบอกว่าเป็นเหตุการณ์ “Perfect Storm” หรือเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นประเภท “หนึ่งในร้อยปี”
การตกลงมาของตลาดหุ้นอเมริกาในรอบนี้ผมคิดว่าเข้าข่ายเป็น “ตลาดหมี” แล้วโดยเฉพาะในตลาดหุ้นแนสแด็กที่เป็นตัวแทนของหุ้นไฮเท็คและเป็นหุ้น “เก็งกำไร” สูง ส่วนหุ้น S&P ซึ่งเป็นหุ้นที่เป็นตัวแทนของทั้งประเทศนั้น “หมีก็รออยู่ที่หน้าประตู” แล้ว ในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ของประเทศอย่างดาวโจนส์ซึ่งเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ของประเทศและของโลกนั้น ไม่ช้าก็เร็วก็คงจะเป็น “ตลาดของหมี” ในที่สุด
คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะ VI ก็คือ แล้วตลาดหุ้นไทยจะกลายเป็นหมีตามไปหรือไม่? เราควรจะทำอย่างไรกับหุ้นและการลงทุนของเรา ลองมาวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นกัน มองในแง่ของประวัติศาสตร์ดัชนีตลาดหุ้นของหลาย ๆ ประเทศ ไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์หรือเหตุผลมากมายที่มีคนพูดถึงกันมากแล้ว
อ่านเพิ่มเติม : ตลาดปรับฐาน vs.ตลาดหมี แตกต่างกันอย่างไร
ตลาดหุ้นสหรัฐ ในช่วงตั้งแต่ปี 2009 หลังจากวิกฤติซับไพร์มที่ทำให้ดัชนีหุ้นตกลงมาประมาณ 40% นั้น เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาตลอดจนถึงสิ้นปี 2021 โดยที่มีการ “ปรับตัว” หรือหุ้นตกหนักถึงหนักมากเป็นระยะโดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2020 ที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ที่หุ้นตกหนักถึงกว่า 30% ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียง 3-4 เดือน
การปรับตัวขึ้นของหุ้นเป็น “ตลาดกระทิง” ตั้งแต่ปี 2009 ถึงสิ้นปี 2021 เป็นเวลาเกือบ 13 ปี นั้น น่าจะเป็นตลาดกระทิงที่รุนแรงและยาวนานมากที่สุดครั้งหนึ่งของตลาดหุ้นอเมริกา เพราะตลาดให้ผลตอบแทนจากดัชนีไม่รวมปันผลถึงปีละกว่า 15% แบบทบต้น โดยที่เหตุผลที่แท้จริงของการปรับตัวขึ้นของหุ้นนั้นน่าจะเป็นเรื่องของสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นเหลือจากการทำ QE อย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงอย่างต่อเนื่องจนแทบจะเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเท่า ๆ กันในช่วงเวลาเดียวกัน
เมื่อเป็นกระทิงมานานขนาดนั้น ประวัติศาสตร์ก็มักจะบอกว่ามันจะต้องตามมาด้วย “ตลาดหมี” และนั่นก็เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2022 นี้ ที่ดัชนีหุ้นแนสดักตกลงมาอย่างต่อเนื่องถึง 28.3% นับถึงวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2022 เกินกว่า 20% ที่เป็นจุดที่ยอมรับกันว่าเป็น “ตลาดหมี” แล้ว ดัชนีหุ้น S&P ร่วงลงมา 18.7% แม้ว่าจะยังไม่ถึงจุดแต่ดูจากทิศทางแล้วก็คงจะตามไปในไม่ช้า เช่นเดียวกับดัชนีดาวโจนส์ที่ลดลงมา 14.6% เหตุผลก็เพราะว่าปัจจัยที่ทำให้หุ้นตกหนักในช่วงแค่ไม่กี่เดือนนี้ยังคงดำรงอยู่ต่อไปและอาจจะมากขึ้นนั่นก็คือ สภาพคล่องทางการเงินจะลดลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ
มองแบบคนธรรมดา สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้และช่วงต่อไปก็คือ “การเก็งกำไร” ของนักลงทุนคงจะหดหายไปมากและจะลดลงเรื่อย ๆ เพราะเงินหายากขึ้นและต้นทุนสูงขึ้น นั่นทำให้หุ้นและตราสารการเงินอื่น ๆ รวมไปถึงทรัพย์สินต่าง ๆ เช่น เหรียญคริปโตที่มีการเก็งกำไรสุดยอดนั้น ถูกขายทิ้งและทำให้ราคาลดลงอย่างหนัก หุ้นขนาดใหญ่ที่มั่นคงนั้นถูกขายน้อยกว่า การตกลงมาก็น้อยกว่า และแทบจะไม่มีทรัพย์สินกลุ่มไหนเลยที่มีราคาเพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นของจีนนั้นดูเหมือนจะตามตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีฮั่งเส็งซึ่งเป็นตลาดหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ตกลงมาจากต้นปีประมาณ 11% ดัชนีเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นตัวแทนของประเทศจีนตกลงมา 13.4% และดัชนีเซินเจิ้นซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นเท็คจีนตกลงมา 22.6% เข้าข่ายเป็นตลาดหมีไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นจีนในช่วงประมาณ 13 ปี หลังวิกฤติซับไพร์มนั้นไม่ได้ปรับตัวขึ้นแบบกระทิงแบบอเมริกาและให้ผลตอบแทนแค่ปีละ 4-5% แบบทบต้น และว่าที่จริง ตลาดหุ้นจีนนั้น “แน่นิ่ง” มากว่า 10 ปีเป็น “ทศวรรษที่หายไป” ไปแล้ว ซึ่งก็ตรงกับช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้รับการแต่งตั้งในช่วงปลายปี 2012 พอดี
ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นดูเหมือนว่าจะตามตลาดหุ้นสหรัฐแทบทุกอย่างนั่นก็คือ ดัชนีปรับตัวลดลงถึง 17.3% จากต้นปีใกล้เคียงกับดัชนี S&P มาก นอกจากนั้น ในช่วงก่อนหน้าคือจากปีวิกฤติซับไพร์มจนถึงสิ้นปี 2021 ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปแบบ “กระทิงดุ’’ ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 14.8% เป็นเวลาถึง 13 ปี พอ ๆ กับตลาดหุ้นสหรัฐ สิ่งที่แตกต่างจากสหรัฐก็คือ ปัจจัยที่ทำให้หุ้นตกรอบนี้ของเวียดนามนั้นน่าจะเกิดจากการจับคนปั่นหุ้นและฉ้อโกงของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนซึ่งทำให้นักลงทุนซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักเก็งกำไรส่วนบุคคลตกใจและเทขายหุ้นซึ่งก็ไปกระทบถึงการบังคับขายหุ้นที่มีการใช้มาร์จินจำนวนมากที่เกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้
ตลาดหุ้นไทยนั้นถ้าดูจากดัชนีตลาดดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นตลาดหมีเลย ดัชนีตั้งแต่ต้นปีลดลงแค่ประมาณ 2.1% อย่างไรก็ตาม ถ้ามองภาพเล็กลงมาโดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เน้นเล่นเหรียญดิจิทัลและหุ้นที่เก็งกำไรรุนแรงก็จะพบว่าจำนวนมากขาดทุนหนัก โดยเฉพาะเหรียญดิจิทัลที่บางตัวนั้น “ล่มสลาย” ขาดทุนเกิน 90% และจำนวนมากขาดทุนหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาอันสั้น นอกจากนั้น คนที่กระจายการลงทุนไปลงใน “หุ้นต่างประเทศ” ซึ่งส่วนใหญ่ก็คืออเมริกา จีนและเวียดนาม ต่างก็ “เจ็บหนัก” ไปตามกัน
การที่หุ้นไทยแทบไม่ได้ตกลงมาเลยนั้น ถ้ามองจากประวัติศาสตร์ก็อาจจะบอกว่าเป็นเพราะในช่วงประมาณ 9 ปีที่ผ่านมานั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยแทบจะไม่ไปไหนเลย ใกล้จะเป็น “ทศวรรษที่หายไป” อยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อ “ไม่เคยเป็นกระทิง” ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา “หมี” ก็มักจะไม่มาเยือน
ผมก็ไม่รู้ว่าตลาดหุ้นไทยจะเหมือนประเทศไทยไหมที่ว่านับวันเราจะไม่ค่อยมีความสำคัญและก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับโลกเท่าไร และดังนั้น เราก็ไม่ตามโลกมากนัก และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมเองก็ยังคงพอร์ตหุ้นไทยไว้อย่างเดิม เน้นที่หุ้นแต่ละตัวเป็นหลัก