ภาษีหุ้น ...ฝังกลบตลาดหุ้นไทย

29 พ.ย. 2565 | 20:00 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

***  เก็บภาษีซื้อขายหุ้น 0.1% แหม...มั่นมาก!!! คิดกันได้ ดันกฎหมายเตะตัดขาตัวเองเข้า ครม. และรับหลักการเรียบร้อยโรงเรียน “ลุงตู่” รอแค่ประกาศใช้เท่านั้น ปีแรกเก็บอัตรา 0.05% ดีเดย์ก็น่าจะต้นเดือน เม.ย. 2566 หรือ หลังจากกฎหมายบังคับใช้แล้ว 90 วัน  
     

พูดตรงๆ กันเลยว่า นี่มัน คือ การปล้นกันชัดๆ ปล้นกันทุกระดับ...ประทับใจ สงสัยจะหมดปัญญาหาเงินกันแล้วจริงๆ เรื่องดีๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นกลับไม่มีอะไรใหม่ แต่พอคิดอะไรไม่ออก ก็พายเรือในอ่าง คิดกันแต่เรื่องเดิมๆ ไปไหนไม่ได้ก็กลับมาดูดเลือดขูดกินเนื้อกินคนไทยด้วยกันเอง  
     

ตลาดหุ้นที่ซบเซาขนาดนี้ ยังไม่พอใจกะจะเอากันไม่ให้ฟื้นเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าจะซ้ำเติม หรือ กะว่าจะกดหัวอะไรกันนักหนา กลัวว่าตลาดหุ้นไทยจะฟื้น กลัวว่าประเทศจะมีเงินลงทุนไหลเข้า จะมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น หรือ กลัวว่าประเทศจะเจริญหรือยังไง ทีเรื่องเหรียญคริปโทฯ เห็นข่าวว่าแจ้งให้กระดานซื้อขายคริปโทฯ “แข็งเมือง” ไม่ทำตามคำสั่ง ก็เงียบเป็นเป่าสาก ปล่อยจนนักลงทุนเจ๊งกันทั้งประเทศ กลับปิดปากกันเงียบ ไม่เห็นว่าจะควบคุมหรือจัดการอะไรออกมาได้เลยสักอย่าง เฮ้อ...เจ๊หละเซ็งจริงๆ 

*** เจ๊เมาธ์มองว่าการที่ราคาหุ้น MORE ถูกดันราคาขึ้นมายืนเหนือราคา 0.50 บาท จากจุดต่ำสุด หลังจากที่ร่วงลงมาต่อเนื่องกันมาถึง 6 ฟลอร์ อาจจะเป็นเพียงแค่อาการ “ศพกระตุก” ก่อนที่จะพักราคาไปอีกนาน  
     

อย่างหนึ่งคือ การที่ฐานราคาใหม่ของหุ้น MORE ของนักเก็งกำไรรายใหม่ ที่เข้ามาเล่นรอบในหุ้นตัวนี้ กลับลงไปยืนที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 0.40-0.45 บาท ในขณะที่ฐานราคาของผู้ถือ (เฉพาะรายย่อย) อยู่ที่ราคาเฉลี่ย 1.60-1.75 บาท หมายความว่าจากนี้ไปราคาหุ้นของ MORE จะยังไปไหนไม่ได้ เพราะจะถูกขายออกมาตลอด ทั้งเพื่อลดการขาดทุนจากนักลงทุนที่ติดหุ้น และขายเพื่อทำกำไรจากผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่มีต้นทุนต่ำกว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน  
     

ส่วนเรื่องที่สอง หุ้นตัวอื่นที่อยู่ในการดูแลของ “เฮียม๊อ” และเพื่อน ไม่ว่าจะเป็น HEMP COMAN TH รวมไปถึง GSC ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุการทุบหุ้น MORE ในครั้งนี้ จะต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้เรียบร้อยก่อน เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ MORE มีสูงมาก จนทำให้การฟื้นฟูความเชื่อมั่นต้องใช้เวลานานกว่า นาน...จนถึงขึ้นที่อาจจะต้องเปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนสตอรี่เพื่อให้นักลงทุนลืมกันเลยทีเดียว 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากก่อนหน้าที่จะชื่อ MORE หุ้นตัวนี้ใช้ชื่อว่า DNA และเคยมีชื่อของนักการเมืองคนดังอย่าง “ธรรมนัส พรหมเผ่า” เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ดังนั้น การระดมทุนเพื่อหาเงินไปลุยในศึกของการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังใกล้จะมาถึง อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุของทุบหุ้น MORE ในครั้งนี้ก็เป็นได้ เจ๊เมาธ์ก็แค่สงสัย...เรื่องแบบนี้ใครจะรู้ 


ขบวนการปล้นโบรกเกอร์ ยังมีโบรกเกอร์นอกลู่ 2 ราย “ไอร่า-อาร์เอชบี” ที่ฝ่าฝืนจ่ายเงินขายหุ้น MORE ให้กับ “ปิงปอง - อภิมุข บำรุงวงศ์” จะเข้าข่ายความผิดไหน เจ๊เมาธ์แว่วมาว่า โทษหนักเหมือนกัน 
     

*** น่าสนใจว่าหุ้นพลังงานน้องใหม่อย่าง TGE ซึ่งมีข่าวว่าได้จะถูกโอนย้ายมาให้นักลงทุนและนักวิเคราะห์หุ้นอาวุโส “สายสะอาด” ดูแลจนถึงขั้นที่ออกปากการันตีว่าจะดันให้ข้ามราคาไอพีโอที่ 2 บาท/หุ้น เพื่อไปทำฐานใหม่ที่ราคา 3 บาท/หุ้น อาจจะเป็นไปไม่ได้อย่างที่คิดซะแล้ว อย่างหนึ่งคือ ผลการดำเนินงานของ TGE ในไตรมาสที่ 3/65 ดูเหมือนว่าจะไม่สวยอย่างที่เคยคุยเอาไว้ 


ขณะเดียวกันเจ๊เมาธ์ยังได้ข่าวว่า “แก๊งปลาดุก” ที่เคยบอกว่าจากไปแล้วก็ยังวนเวียนไม่จากไปไหน อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสท่านนี้เคยได้ฝากฝีมือเอาไว้แล้วกับหุ้นในตำนานที่ส่งให้รายย่อยจำนวนมากขึ้นไปอยู่บนดอยมาแล้วอย่าง ZIGA รวมไปถึง TMI ซึ่งเป็นหุ้นอีกตัวที่ผู้อาวุโสท่านนี้ช่วยดันให้นักลงทุนได้ขึ้นไปเที่ยวดอยมาแล้วเช่นกัน เอาเป็นว่าเรื่องของ TGE อาจจะต้องตามดูไปอีกหน่อยว่า จะไปได้ไกลแค่ไหน ถ้าไปได้ดีก็ดีไป เจ๊เมาธ์ก็แค่ทำหน้าที่สะกิดให้ระวังเอาไว้บ้างก็เท่านั้นเอง


*** หุ้นใหญ่อย่าง BANPU ถือเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัว ที่เจ๊เมาธ์มองว่ามีอนาคตและน่าจะไปต่อได้อีก เรื่องนี้ไม่ต้องนับรวมเอาค่าพีอีที่ต่ำกว่า 3 เท่ามาคุย เพราะผลการดำเนินงานของไตรมาส 3/65 ก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า BANPU มีศักยภาพจริงหรือไม่ 


ขณะเดียวกัน ก็มีความเป็นไปได้ว่า ผลการดำเนินงานที่ผูกอยู่กับราคาน้ำมันดิบและราคาพลังงานในตลาดโลก ตามที่นักวิเคราะห์มองเอาไว้ว่าน่าจะดีไปจนถึงกลางปีหน้าโน้นเลย ดังนั้น ถ้าใครหาหุ้นหลุมหลบภัยของตัวเองยังไม่ได้ก็แนะนำว่า BANPU เป็นหุ้นใช้ได้อีกตัว ของแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเชื่อแต่ต้องลองตามดู ไม่แน่ว่าของดีอาจจะอยู่ใกล้มากจนทำให้เรามองข้ามไปก็ได้
     

*** การที่ AWC สามารถปรับราคาข้ามราคาไอพีโอ 6.00 บาท ขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องของการฟลุ๊ค ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นมาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่ยังมีปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่หากใครติดตามหุ้นตัวนี้อยู่บ้าง ก็จะให้ได้ถึงการขยายธุรกิจในหลายทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และในเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ทั้งที่การซื้อและสร้างใหม่  


ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการที่ AWC เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีทุนหนา...จนถึงหนามาก ซึ่งเพียงพอที่จะพยุงให้บริษัทฯ ก้าวข้ามวิกฤติเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่เจ็บตัว แต่หากวิกฤติเศรษฐกิจไม่เกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นจังหวะที่ให้ AWC ได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศที่เริ่มมีนักท่องเที่ยวกำลังกลับเข้ามา น่าจับตา...ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็นราคาไปได้ไกลกว่านี้อีกค่ะ


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,840 วันที่ 1 - 3 ธันวาคม พ.ศ. 2565