*** แนวทางการลงทุนจากหลายสำนักวิเคราะห์ซึ่งมีมุมมองที่แตกต่าง ทั้งทิศทางของตลาดหุ้นและทิศทางของเศรษฐกิจไทย แน่นอนว่าไม่มีอะไรถูกที่สุด แต่รู้เอาไว้เป็นแนวทางก็ดีค่ะ
บล.หยวนต้า มองเป้าดัชนี SET ปี 66 ไว้ที่ 1,720 จุด แต่เห็นโอกาส Upside เปิด จากการที่ตลาดหุ้นจะเริ่มได้รับปัจจัยบวกจากทิศทางอัตราเงินเฟ้อ ที่ผ่อนคลายลง หลังจากผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และอัตราดอกเบี้ยในปี 66 คาดว่าจะเห็นความชัดเจนของการสิ้นสุดขาขึ้นในปีช่วงต้นปี 66 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลก และตลาดหุ้นไทยจะได้รัอานิสงส์ไปด้วยเช่นกัน
กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจในปี 66 มองว่ายังคงเป็นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ KBANK BBL SCB KTB ที่ยังได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงกลุ่มค้าปลีก CPALL BJC GLOBAL CRC ที่ได้รับอานิสงส์บวกของการเติบโตของเศรษฐกิจ และกลุ่มสายการบิน AOT AAV และ BA ยังมีความน่าสนใจจากการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตขึ้น และกลุ่มโรงไฟฟ้าอย่าง GULF และ GPSC ที่กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง หลังจากปี 65 มีแรงกดดันในเรื่องราคาก๊าซ และ ราคาน้ำมัน ที่เพิ่มขึ้น
บล. กสิกรไทย ระบุตลาดหุ้นไทยปี 66 จากแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น โดยคาดดัชนีหุ้นไทย (SET Index) จะอยู่ที่ 1,568-1,946 จุด หากเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ มองว่า ทวีปเอเชีย และ ประเทศไทย จะอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าจากความเสี่ยงที่จะเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยน้อยกว่าสหรัฐฯ และยุโรป และ GDP ของไทยที่คาดจะเติบโตขึ้น 3.7% ในปี 2566 และอัตราเงินเฟ้อที่คาดจะเข้าหาเป้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งไว้ที่ 1-3%
โดยธีมลงทุนปี 66 เน้นไปยังกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นในรูปแบบ K-shaped การเปิดประเทศ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แนะนำ BCP (ราคาเป้าหมาย 35.40 บาท) PRM (ราคาเป้าหมาย 9.21 บาท) BAM (ราคาเป้าหมาย 21 บาท) KTB (ราคาเป้าหมาย 20 บาท) (SC ราคาเป้าหมาย 4.60 บาท) (AAI ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท) CPN (ราคาเป้าหมาย 74.25 บาท) CRC (ราคาเป้าหมาย 46.60 บาท) BDMS (ราคาเป้าหมาย 32.30 บาท) MINT (ราคาเป้าหมาย 34.18 บาท) ADVANC (ราคาเป้าหมาย 249.45 บาท) และ TEGH (ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท)
บล. โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ โดยประเมิน SET Index ดัชนีเป้าหมายปี 66 ที่ 1,800 จุด โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ผสาน China Reopening ช่วยเพิ่มอัตราเร่งดุลบัญชีเดินสะพัดไทยเริ่มพลิกกลับมาเป็นบวกได้ +4.5% ของ GDP หนุนเศรษฐกิจไทยปี 66-67 เติบโตสูง +3.8% เน้นพอร์ตการลงทุนแบบ Domestic Plays ซึ่งได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคเป็นหลัก ได้แก่
1. กลุ่ม Consumer และ Reopening ที่เติบโต/ฟื้นตัวไปกับธีม China Reopening
2. ผสานกลุ่ม Anti-Commodity ที่ได้ประโยชน์ราคาพลังงานผ่านจุดสูงสุด และกระแส EV Ecosystem กำลังเติบโต
3. Farm Income จะเห็นภาพเศรษฐกิจกลุ่มประชาชนฐานรากคึกคักรับการเลือกตั้ง
4. เลือกรายตัวสำหรับหุ้นกลุ่ม High Growth ที่จะเป็นกลุ่มแรกที่ตลาดพิจารณาดึงสถานะกลับ หลังจากการเร่งปรับดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรับมือเงินเฟ้อพ้นจุดที่แย่แต่กำไรต้องเติบโตคาดหวังได้จริง
โดยหุ้นท้อปพิก ปี 66 แนะนำ AAV AOT AMATA CPALL CRC GPSC GULF SCGP CBG BAM BBL ขณะที่กลุ่ม Mid-Small Cap Play แนะนำ บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA, บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI SAPPE BE8 ONEE และ MC
บล.บัวหลวง มองเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 66 ที่ 1,820 จุด คาดว่าเม็ดเงินต่างชาติจะยังไหลเข้ามาลงทุนมากขึ้นส่วน ค่าเงินบาทยังคาดว่า จะแข็งค่าต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 66 คาดว่าจะเติบโต 4% โดยมีภาคการบริโภค และท่องเที่ยวที่ยังคงดีต่อเนื่อง แม้ว่าจะเห็นการชะลอตัวลงบ้างของภาคการส่งออก แต่ก็เป็นการกลับสู่ภาวะปกติของการฟื้นตัว
ขณะเดียวกัน ไทยจะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ด้วย การจัดพอร์ตลงทุนในปี 66 แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกู้, กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงหุ้นไทย, จีน และสหรัฐมากขึ้น
สำหรับธีมการลงทุนเน้นลงทุนในกลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค, กลุ่มมีเดีย, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่ม พลังงานสะอาด กรีนเอนเนอจี้ ที่ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสนใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาใช้งานมากขึ้น สะท้อนผ่านยอดขายปัจจุบันที่ 15,250 คัน นับจากต้นปี 65 ที่ผ่านมา สำหรับกลุ่มสถาบันการเงินก็ยังน่าสนใจ จากคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้น ขณะที่ปัจจุบันมีค่า P/E ค่อนข้างต่ำ ส่วนกลุ่มที่ควรเลี่ยงลงทุน คือ น้ำมัน, ปิโตรเคมี, โรงกลั่น, กองเรือ และโรงพยาบาล
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,850 วันที่ 5 - 7 มกราคม พ.ศ. 2566