หลังจากที่เจ้าสัวประจักษ์ ตั้งคารวคุณ มีท่าทางว่าจะเข้ามาดูแล STARK ด้วยตัวเองก็ทำให้สถานการณ์ของ STARK เริ่มกลับมาดูดีขึ้น เริ่มตั้งแต่การประชุมผู้ถือหุ้นกู้ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2566 โดยวาระที่ 1 ผู้ถือหุ้นมีมติยกเว้นเหตุผิดนัด อันเกิดจากการที่ผู้ออกหุ้นกู้ส่งงบการเงินปี พ.ศ. 2565 ล่าช้ากว่าที่กฎหมายกำหนด โดยผู้ถือหุ้นกู้ใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ตามที่กำหนดในข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้ทุกประการ
ในขณะที่วาระเรื่องการเรียกให้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยภายใต้หุ้นกู้ทั้งหมดถึงกำหนดชำระโดยพลันนั้น ที่ประชุมไม่ได้พิจารณาลงมติ เนื่องจากการพิจารณาวาระที่ 2 จะมีขึ้นในกรณีที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้มีมติไม่ยกเว้นเหตุผิดนัด ในวาระที่ 1 เพียงเท่านั้น ซึ่งกรณีนี้นักวิเคราะห์จาก ทริสเรทติ้ง มองว่ากรณีนี้เพียงช่วยลดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ได้เพียงบางส่วนหรือชั่วคราว แต่ยังเห็นว่าบริษัทไม่น่าจะสามารถชำระคืนหนี้หุ้นกู้มูลค่ารวมทั้งหมด 9,200 ล้านบาทได้อยู่ดี
อย่างไรก็ตามสำหรับเจ๊เมาธ์แล้วเจ๊กลับมองแค่เริ่มต้นจากการที่ STARK จำเป็นที่จะต้องส่งงบการเงินปี 65 เพื่อให้บริษัทสามารถกลับเข้ามาทำการซื้อขายหุ้นในตลาดฯ เป็นเบื้องต้นให้ได้ซะก่อน หลังจากนั้นความเชื่อมั่นอย่างอื่นก็จะตามมา เพราะหาก STARK ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ทุกอย่างก็คงจะจบ...ไม่ต้องหวังอะไรกันอีกแล้ว เรื่องมันก็แปลความหมายตรงตัว ว่ากันง่ายๆ แบบนี้เท่านั้นเอง
ถือว่า BAM เป็นหุ้นอีกหนึ่งทำให้นักลงทุนผิดหวังอีกหนึ่งตัว เมื่อเทียบกับหุ้นตัวใหญ่หลายตัวที่เข้าตลาดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัญหาชัดเจนที่สุดของ BAM ก็คือ กำไรจากผลการดำเนินงานนับตั้งแต่ปี 63 จนถึงปี 65 ที่ผ่านมาปรับฐานลงมาอยู่ระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับภาพลักษณ์ที่สวยหรูก่อนการเข้าตลาดในเดือนธันวาคมปี 62 อย่างที่สองคือ ปัญหาที่บริษัทมีทุกอย่างพร้อมไม่ว่าจะเป็นเงินทุนมหาศาล มีคอนเนคชั่นที่ไม่ธรรมดา รวมถึงมีสินทรัพย์รอการขายอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่มีอยู่นี้กลับไม่ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างเหมาะสมจนกลายเป็นปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนและลุกลามกลายเป็นเรื่องของราคาหุ้นที่ร่วงลงตลอดในแบบที่เรียกว่า “ต่ำแล้ว...ต่ำอีก” จนนักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่ายหัวกันทั้งตลาด
เจ๊เมาธ์มองว่าการที่ BAM มีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กลายเป็นปัญหาในตัวเอง เพราะทำให้มุมมองในการบริหารงานของบริษัทยังไม่สามารถทิ้งระบบราชการแบบเดิมๆ ที่เน้นถือครองเงินสดจำนวนมากเป็นหลัก เน้นการทำงานแนวรับมากกว่ารุก ไม่ยืดหยุ่นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และชัดเจนเลยว่าถึงแม้จะไม่มีอะไรเสียหาย สุดท้ายบริษัทก็โตไม่ได้....หรือถ้าจะโตได้ก็ช้ามาก เรื่องทั้งหมดก็มีอยู่เท่านั้นเองเจ้าค่ะ
หลังจากที่ PRTR เข้าตลาดฯ ได้เดือนกว่าๆ หุ้นตัวร้อนที่เคยทำราคาขึ้นไปถึง 10.80 บาท จากราคาไอพีโอ 7.20 บาทก็ดูเหมือนจะหมดช่วงเวลา “ฮันนีมูน” เพราะราคาร่วงลงต่ำว่าราคาไอพีโอไปเรียบร้อย อย่างหนึ่งก็มีความเป็นได้ที่ไม่ว่าจะเซียนพระหรือเซียนหุ้น ซึ่งต่อยอดธุรกิจมาจากหุ้นตระกูลเจด้วยการบอกว่าจะเข้ามาลงทุนกับ PRTR ในระยะยาวอาจจะเกิดวิกฤติสภาพคล่องเนื่องจากหุ้นตระกูลเจไม่ว่าจะเป็น JMART JMT SINGER J และ SGC ต่างก็ปรับราคาลงจนเป็นไปได้ที่เซียนอาจจะต้องขายหุ้น PRTR บางส่วนหรือทั้งหมดออกมาเพื่อนำเงินเข้าไปถัวหุ้นตัวเจที่กำลังอยู่ในอาการ “โคม่า” ก็มีความเป็นได้
แต่อีกประเด็นที่ไม่อาจจะมองข้าม ก็คือผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 ของ PRTR ที่กำลังจะประกาศออกมาอาจจะไม่สวยอย่างเหมือนตัวเลขที่เคยโชว์เอาไว้ก่อนที่จะเข้าตลาดฯ มาทรงนี้ถ้าเป็นเจ๊...เจ๊จะขอไปยืนดูห่างๆ เอาไว้รอคลื่นลมสงบแล้วค่อยมาว่ากันใหม่น่าจะปลอดภัยที่สุด
ราคาหุ้นของ KEX ยังคงปรับลงจนเรียกได้ว่า ต่ำแล้ว...ต่ำอีก และยังอาจจะต่ำต่อไปได้อีก ก็อย่างที่เจ๊เมาธ์พูดมาตลอดว่า KEX เป็นบริษัทที่มีทุนใหญ่มาจากต่างประเทศเอาไว้รองรับเอาไว้ ดังนั้นบริษัทจึงไม่เสียดายในการที่จะทำตลาดด้วยวิธีการยอมขาดทุนด้วยการตัดราคา เพื่อให้คู่แข่งไม่สามารถทำธุรกิจต่อไปได้ แต่ขณะเดียวกัน KEX ก็จะประสบปัญหาขาดทุนอยู่ตลอดแม้ว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นโดยตลอดเช่นเดียวกัน แต่เมื่อได้เห็นราคาหุ้นของ KEX มาในทรงแบบนี้ก็ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่าทรงแบบนี้น่าห่วง...มีความเป็นไปได้ว่าผลการดำเนินงาน 1/66 ที่กำลังจะออกมาอาจจะไม่สวยถึงแม้ผู้บริหารบริษัทจะบอกว่าปีนี้รายได้จะยังดีอยู่ก็ตาม เอาเป็นว่าคำเตือนของเจ๊ก็ยังคงแนะนำว่าให้อยู่ห่างๆ ไม่ต้องรีบ เอาไว้มีสัญญาณดีๆ แล้วค่อยมาว่ากัน
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,884 วันที่ 4 - 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566