บทเรียนตลาดหุ้นฟื้นหลังวิกฤติ

30 ต.ค. 2565 | 05:09 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ต.ค. 2565 | 12:48 น.

บทเรียนตลาดหุ้นฟื้นหลังวิกฤติ บทความโดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณภาพ โลกในมุมมองของ Value Investor

 

 

ขณะนี้ตลาดหุ้นหลายแห่งโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ  จีนและเวียตนามต้องถือว่า “วิกฤติ”แล้วแม้ว่าจะไม่ได้หนักเหมือนอย่างช่วงซับไพร์มในปี 2008 หรือปี 2000 สำหรับหุ้นไฮเท็คในอเมริกา  หรือช่วง “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540  เพราะตลาดหุ้นได้ตกลงมาในระดับ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ ในสหรัฐ  30 กว่าเปอร์เซ็นต์ในเวียตนาม  และถึง 40% ในตลาดหุ้นจีน  และจริง ๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะหยุดตกหรือยัง  

 

อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าถ้าจะลงอีกก็คงไม่มากแล้ว  เพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่ได้เลวร้ายมากเท่าวิกฤติครั้งก่อน ๆ  และที่สำคัญ  ราคาหุ้นก็ไม่แพงและในบางตลาดเช่นตลาดหุ้นจีนนั้นดูเหมือนว่าจะ “ถูกมาก” ค่า PE ของตลาดน่าจะต่ำกว่า 10 เท่า  ดังนั้น  นี่จึงอาจจะเป็น “โอกาสทอง” ของการลงทุน

 

แต่ก่อนที่จะเข้าไปลงทุนจริง ๆ  ลองมาดูว่าถ้าตลาดหุ้นฟื้นตัวหลังจากปีนี้ “ผลตอบแทนที่คาดหวัง” ในอีกซัก 3-4 ปีขึ้นไปจะเป็นอย่างไร? อย่างน้อยจะทำให้รู้ว่ามันคุ้มกับ “ความเสี่ยง” ที่จะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งวิธีการของผมก็คือการศึกษาบทเรียนจากอดีตเฉพาะในตลาดหุ้นไทยในช่วงปี 2000 หรือปี 2543 และปี 2008 หรือปี 2551 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเกิดวิกฤติโดยที่เป็นผลจากตลาดต่างประเทศเป็นหลักเหมือนวิกฤติครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันไม่ได้เกิดวิกฤติ  ดังนั้น  บทเรียนที่น่าจะนำไปประยุกต์ใช้ได้จึงอยู่ที่ตลาดหุ้นเวียตนามและจีนเท่านั้น
 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2543 ก็คือ  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยตกลงไปลึกมากถึง -44.1% แต่การฟื้นตัวหลังจากนั้นก็เร็วมาก  คือในปี 2544 ดัชนีปรับตัวขึ้น 12.9% ปี 2545 ขึ้นไป 17.3% และปี 2546 ปรับตัวขึ้นไปสูงสุดถึง 116.6% ก่อนที่การฟื้นตัวจะสิ้นสุดลง  ในช่วงเวลา 3 ปี  ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง  187% หรือคิดง่าย ๆ  ปีละ 62% โดยเพียงแต่ลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนี  แต่สำหรับคนที่เลือกหุ้นได้ดีแนว VI ระยะยาวก็น่าจะยิ่งได้ผลตอบแทนสูงมากกว่านั้นจนแทบจะ “รวย” ได้เลยในช่วงเวลาอันสั้น

 

แต่การฟื้นตัวของหุ้นในช่วง 3 ปีดังกล่าวนั้นมาพร้อมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และพื้นฐานทางด้านผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้นมาก  เช่นเดียวกับความถูก/แพงของตลาดหุ้นที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนมาก ๆ
 

ประเด็นแรกก็คือ  GDP หลังวิกฤตินั้น  เติบโตเร็วขึ้นเรื่อย ๆ  ปี 2544 แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ถล่มตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ในนิวยอร์ค  เศรษฐกิจไทยก็ยังโต 3.4% ปี 2545 โตเพิ่มขึ้นเป็น 6.1% และปีสุดท้ายคือปี 2546 โตขึ้นถึง 7.2%

 

ตรงกันข้าม  อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของแบ้งค์ชาติกลับลดลงต่อเนื่องจากที่เคยสูงถึง 6.5% ในปีวิกฤติ 2543 ลดลงเหลือ 2.25% ในปี 2544 ลดลงเหลือ 1.25% ในปี 2545 และเหลือเพียง 1% ในปี 2546 และนี่ก็น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญมากอย่างหนึ่งของการฟื้นตัวของราคาหุ้นไม่แพ้เรื่องของการเติบโตของ GDP

 

ทั้งสองปัจจัยนั้น  น่าจะมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มขึ้นของกำไรหรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีการปรับตัวขึ้นเร็วมากโดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายของการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในปี 2546 ที่กำไรโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นถึง 50% จากประมาณ 200,000 ล้านบาทเป็น 300,000 ล้านบาท
 

 

และสุดท้ายที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงจริง ๆ ก็คือ  ความถูกของราคาหุ้นหลังวิกฤตินั่นคือ  ค่า PE ของหุ้นที่ต่ำมากในปี 2544 ที่ 4.9 เท่า ซึ่งเมื่อหุ้นฟื้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 7 เท่าในปี 2545 และในปี 2546 ที่หุ้นขึ้นไปกว่า 100% ซึ่งทำให้ค่า PE ปรับตัวสูงขึ้นสู่  “ภาวะปกติ” ที่ 18.2 เท่า  หรือถ้าพูดสรุปอย่างง่ายก็คือ  ในยามที่ทุกอย่างดูสดใสแล้ว  ราคาหุ้นก็จะโตแบบ “สองเด้ง” คือนอกจากจะโตตามผลประกอบการแล้ว  ก็จะโตโดยการเพิ่มค่า PE ด้วย

 

บทเรียนตลาดหุ้นฟื้นตัวหลังวิกฤติปี 2008 หรือ 2551 ดูเหมือนว่าแทบจะเหมือนกับปี 2543 เริ่มตั้งแต่ดัชนีหุ้นที่ตกลงมาแรงมากที่ -47.5%  แต่การฟื้นตัวนั้นมากกว่าและกินเวลายาวกว่า  คือปี 2552 ดัชนีเพิ่มขึ้น 63.3% ปี 2553 เพิ่มขึ้น 40.5% ปี 2554 ดัชนีทรงตัวคือ - 0.7% ก่อนที่จะปรับเพิ่มขึ้นใหม่ในปี 2555 ที่ 35.8% รวม 4 ปี ดัชนีเพิ่มขึ้น 209% หรือเฉลี่ยปีละ 52.3%  กลายเป็น 4 ปีทองโดยเฉพาะของนักลงทุนแบบ VI ที่มักจะทำได้ดีกว่านั้นมาก  และทำให้ VI รุ่นใหม่หลาย ๆ  คน  “เปลี่ยนชีวิต”  และรวยไปเลย

 

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤตินั้น  เริ่มจริง ๆ ในปี 2553 หลังจากที่เศรษฐกิจถดถอยลงเพียงเล็กน้อยในปี 2551 และ 2552 ที่เศรษฐกิจไทยโตเพียง 1.7% และ -0.7%  ตามลำดับ  อันเป็นผลมาจากวิกฤติซับไพร์มที่เกิดขึ้นในอเมริกา  เศรษฐกิจไทยโตขึ้นถึง 7.5% ซึ่งเป็นการเติบโตสูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี  แต่พอถึงปี 2554 การเติบโตกลับลดลงเหลือเพียง 0.8% เพราะเกิด “มหาภัย” ทางธรรมชาติคือน้ำท่วมใหญ่ที่ทำให้นิคมอุตสาหกรรมและโรงงานจำนวนมากต้องหยุดการผลิตไปหลายเดือน  

 

อย่างไรก็ตาม  พอถึงปี 2555 เศรษฐกิจก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและเติบโตถึง 7.2% และน่าจะเป็นปีสุดท้ายของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วของประเทศไทย

 

ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงนั้น  หลังวิกฤติรอบนี้  อัตราดอกเบี้ยไม่ได้ลดลงเท่าไรนัก  เหตุผลก็คงเป็นเพราะว่าอัตราดอกเบี้ยในช่วงวิกฤติเองไม่ได้เพิ่มขึ้นหรืออยู่ในระดับสูง  ปี 2551 ที่เกิดวิกฤติ  อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.75%  และปีที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2555 อัตราดอกเบี้ยก็ยังอยู่ที่ 2.75% โดยในระหว่างนั้น  อัตราดอกเบี้ยก็ขึ้นลงบ้างไม่มาก  กล่าวได้ว่า  ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในช่วงฟื้นตัวก็คือ  “ดอกเบี้ยต่ำ” ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 

และนั่นก็ส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตต่อเนื่องระยะยาวตลอด 4 ปี ของตลาดหุ้นฟื้นตัว  โดยในปีวิกฤติ 2551 กำไรโดยรวมของบริษัททั้งตลาดเท่ากับ 310,000 ล้านบาท  ปี 2552 ถึงปี 2555 กำไรเพิ่มขึ้นเป็น 445,000 ล้านบาท 602,000  634,000 และ722,000 ล้านบาทตามลำดับ หรือก็คือ  ในช่วงฟื้นตัว  กำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโตเร็วมากและโตถึง 133% ในเวลาเพียง 4 ปี

 

ประเด็นสุดท้ายที่ดูเหมือนจะขาดไม่ได้ที่ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นต่อเนื่องยาวนานและแรงมากก็คือ  ในวันที่เกิดวิกฤติและตลาดหุ้นถล่มลงมาได้ทำให้ราคาหุ้น  “ถูกมาก”  นั่นก็คือ  ค่า PE ในปี 2551 เหลือเพียง 7 เท่าจากปีก่อนหน้าที่ 17 เท่า  แต่เมื่อการฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2555 ค่า PE ได้ปรับตัวขึ้นไป “เป็นปกติ” ที่ 18.3 เท่าเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงการฟื้นตัวครั้งก่อน

 

กล่าวโดยสรุปก็คือ  การฟื้นตัวหลังวิกฤติตลาดหุ้นนั้น  มักจะสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่สูงมากต่อเนื่องไปหลายปีหรือประมาณ 3- 4 ปี โดยผลตอบแทนต่อปีสูงถึงกว่า 50%  แต่มีเงื่อนไขว่าเศรษฐกิจหลังวิกฤติต้องเติบโตเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อย ๆ  จนถึงวันที่ดัชนีหุ้นขึ้นสูงสุด อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงจะต้องลดลงต่อเนื่อง ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยช่วงวิกฤติอยู่ในระดับสูง  

 

ในกรณีที่ดอกเบี้ยอาจจะไม่สูงหรือต่ำอยู่แล้ว  อัตราดอกเบี้ยก็จะต้องไม่เพิ่มขึ้น  กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  หลังจากที่ตกต่ำลงมากจากวิกฤติ  และสุดท้าย  ตลาดหุ้นต้องไม่แพงหรือควรที่จะถูกหรือถูกมาก  ค่า PE ถ้าต่ำกว่า 10 เท่าก็น่าจะดีมาก  เพราะเวลาที่หุ้นฟื้นตัว การฟื้นตัวจะสูงมากเพราะหุ้นจะขึ้น  “สองเด้ง” คือขึ้นจากกำไรที่เพิ่มขึ้นและเพิ่มจากค่า PE ที่สูงขึ้นบ่อยครั้งเกินเท่าตัวเมื่อสิ้นสุดการฟื้นตัว