การศึกษาคือสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรได้รับ แต่เบื้องหลังตัวเลขที่น่าตกใจคือเด็กไทยกว่าล้านคนเคยหลุดออกจากระบบการศึกษา
สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่รอการแก้ไขมาอย่างยาวนาน ท่ามกลางวิกฤตดังกล่าว กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ผลักดัน “โมเดลตาข่ายการศึกษา” ที่ช่วยให้เด็กกว่า 3 แสนคนได้กลับเข้าสู่ระบบการเรียนรู้ และไม่หลุดซ้ำ
นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. เปิดเผยข้อมูลจากคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ “Thailand Zero Dropout” ว่า จากความร่วมมือของ 11 หน่วยงาน ปัจจุบันมีเด็กและเยาวชนที่เคยหลุดจากระบบการศึกษาราว 1,025,514 คน ได้กลับเข้าสู่ระบบแล้ว 304,082 คน หรือประมาณ 30% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ยังมีอีกหลายแสนคนที่รอการช่วยเหลือ
จากการถอดบทเรียนการทำงานภาคสนาม กสศ. พบว่า เด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาส่วนใหญ่มี “บาดแผลทางใจ” ที่ฝังลึก ส่งผลต่อโอกาสการเรียนรู้และพฤติกรรม บาดแผลเหล่านี้เกิดจากความรุนแรงหลากหลายรูปแบบ ทั้งจากครอบครัว ผู้คนรอบข้าง โรงเรียน ชุมชน และสังคม ทั้งที่เกิดจากความตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ
“การช่วยเหลือจึงต้องเริ่มต้นด้วยการฟื้นฟู เยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ ด้วยระบบการจัดการรายกรณี เพื่อให้มีความพร้อมก่อนเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็กรายคน” นายพัฒนะพงษ์กล่าว
จากประสบการณ์ทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ กสศ. ได้คิดค้นและนำร่อง “โมเดลตาข่ายการศึกษา” ที่มีทางเลือกการเรียนรู้หลายรูปแบบ ตอบสนองข้อจำกัดของเด็กแต่ละคน และแก้ปัญหาได้ทั้งการป้องกันและการช่วยเหลือ ประกอบด้วย 3 ตาข่ายหลัก:
ตาข่ายที่ 1: โรงเรียนยืดหยุ่น - ปรับการศึกษาให้ยืดหยุ่นขึ้นด้วยแนวทาง “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” เพื่อให้เด็กที่มีข้อจำกัดต่างๆ ยังสามารถอยู่ในระบบโรงเรียนได้
ตาข่ายที่ 2: ศูนย์การเรียนตามมาตรา 12 - โดยสถาบันทางสังคมและกรมส่งเสริมการเรียนรู้ เป็นทางเลือกสำหรับเด็กที่ไม่สามารถเรียนในระบบโรงเรียนปกติได้
ตาข่ายที่ 3: ศูนย์เรียนรู้ชุมชนและโรงเรียนมือถือ - พัฒนาการเรียนรู้ที่ไม่จำกัดสถานที่และเวลา สอดคล้องกับวิถีชีวิตของเด็กนอกระบบ
“โมเดลตาข่ายการศึกษาจะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อผู้เรียนทุกสภาพปัญหา เพราะออกแบบหลักสูตร แผนการเรียนรายคนตามบริบทผู้เรียน บริบทพื้นที่ และวัฒนธรรมที่หลากหลาย ประเมินผลตามพัฒนาการผู้เรียนเป็นรายบุคคล ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ สร้างการเรียนรู้ควบคู่การทำงาน และยังใช้ระบบ credit bank หรือธนาคารหน่วยกิต เพื่อรองรับการเทียบโอนวุฒิการศึกษาและคุณวุฒิวิชาชีพด้วย” นายพัฒนะพงษ์อธิบาย
โรงเรียน 4 ตารางวา: พื้นที่ปลอดภัยที่ไม่จำกัดกรอบ
นายชัชวาลย์ บุตรทอง หรือ “ครูติ๊ก” ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนสถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อสังคม ซึ่งเป็นเครือข่าย กสศ. เล่าถึงการทำงานของ “โรงเรียน 4 ตารางวา” ที่ออกแบบหลักสูตรโอบรับเด็กทุกคนที่มีความต้องการแตกต่างกัน โดยเฉพาะผู้ขาดโอกาสทางการศึกษา
“หากเด็กหลุดจากระบบการศึกษาไปแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะทำให้กลับเข้าสู่ระบบได้อีกครั้ง เพราะเด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่กลัวห้องเรียน หากบังคับให้กลับมาเรียนแบบเดิม ก็อาจเสี่ยงหลุดซ้ำซ้อนได้ จึงจำเป็นต้องช่วยพวกเขาหาเส้นทางการศึกษาให้กับตัวเองใหม่ โดยไม่มีการตีกรอบว่าต้องกลับมาเรียนเฉพาะในห้องเรียน หรือต้องมาเรียนทุกวัน” ครูติ๊กกล่าว
นายวิทิต เติมผลบุญ หรือ “ครูหน่อง” ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนซีวายเอฟ (CYF Thailand) และเลขาธิการสมาคมศูนย์การเรียนโดยองค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน ผู้ริเริ่มโรงเรียนมือถือร่วมกับ กสศ. เล่าว่า เด็กนอกระบบส่วนใหญ่อยากกลับมาเรียน เพราะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่าวุฒิการศึกษาช่วยให้ชีวิตก้าวหน้าได้มากกว่า
“บนข้อจำกัดของเด็กที่ออกจากระบบไปนานแล้ว การกลับเข้าไปในห้องเรียนมันไม่สอดคล้องกับประสบการณ์ของเขาอีกต่อไป เพราะเกือบทุกคนเขาไปทำงาน มีชีวิตอีกแบบหนึ่งไปแล้ว เราจึงมองหาเครื่องมือที่จะเป็นทางออกให้เด็กเหล่านี้ยังเชื่อมตนเองไว้กับระบบการศึกษาได้ต่อไป ในรูปแบบของโรงเรียนมือถือหรือโรงเรียนเคลื่อนที่ ที่ต้องเอื้อต่อการเรียนได้ในทุกที่ทุกเวลา” ครูหน่องอธิบาย
นายพิเศษ ถาแหล่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม ผู้คิดค้น “ห้องเรียนระบบสอง” เล่าว่า ระบบนี้ถูกออกแบบโดยใช้หลักคิดสำคัญคือ การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้เวลาและกิจกรรมนอกห้องเรียนต่างๆ ทั้งการทำงานหารายได้ การช่วยเหลือครอบครัวหรือตนเอง มาแปรเปลี่ยนเป็นผลการเรียนร่วมกับระบบการประเมินผลอื่นๆ
บัณฑิตา มากบำรุง หรือ “กัน” ตัวแทนเด็กและเยาวชนจากโครงการ Thailand Zero Dropout สะท้อนความคิดเห็นว่า เด็กทุกคนควรมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกชีวิตของตัวเอง แต่ก่อนจะไปถึงการตัดสินใจเลือก พวกเขาสมควรได้รับรู้ข้อมูลที่เหมาะสม เธอเชื่อว่าการเติบโตของเด็กแต่ละขั้นต้องมีสามสถาบันหลักคอยช่วยพยุง ได้แก่
• สถาบันครอบครัว ที่อาจเป็นครอบครัวจริงๆ หรือพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นครอบครัว
• สถาบันการศึกษา ที่ควรเปรียบเสมือนซูเปอร์มาร์เก็ตให้เด็กสามารถเลือกสิ่งที่จำเป็นและเหมาะสมกับบริบทชีวิต
• สถาบันการใช้ชีวิต ที่จะให้บททดสอบจริงเพื่อให้รู้ว่าชีวิตนั้นมีอะไรมากกว่าบทเรียนในโรงเรียน
ในปี 2568 นี้ กสศ. ได้ร่วมกับท้องถิ่น 77 จังหวัดทั่วประเทศ ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างต้นแบบระบบนิเวศการเรียนรู้ พื้นที่ปลอดภัยเพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ
นายพัฒนะพงษ์ระบุว่า การช่วยเหลือที่ได้ผลและทำให้เด็กไม่หลุดจากระบบซ้ำต้องอาศัย 2 ปัจจัยสำคัญ คือ การนำเด็กกลับมาสู่ระบบนิเวศการเรียนรู้ที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นพื้นที่ที่ทำให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่า มีสิทธิ มีโอกาส มีศักดิ์ศรี และมีความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์
การปรับเปลี่ยนการศึกษาให้ยืดหยุ่น มีหลายทางเลือก ตอบโจทย์ชีวิต เอื้อต่อความแตกต่างหลากหลายของผู้เรียน และเด็กต้องมีส่วนร่วมในการออกแบบ
“ทั้งหมดนี้ไม่สามารถทำได้ด้วยใครหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งสังคม ชุมชน โรงเรียน และครอบครัว ต้องช่วยกัน” นายพัฒนะพงษ์กล่าวทิ้งท้าย
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,083 วันที่ 30 มีนาคม - 2 เมษายน พ.ศ. 2568