เราไม่อาจทราบได้เลยว่า ลมที่พัดพามาปะทะกายนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากทิศทางไหน เบาหรือว่าแรง เราไม่อาจทราบได้เลยว่า มีผงฝุ่นคละเคล้ามาด้วยหรือไม่อย่างไร
หมอกและควันที่จางบางๆ เคลื่อนเลื่อนลอยปะปนกับออกซิเจน เราไม่อาจทราบได้เลยว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากทางทิศไหน ใช้เวลานานไหมในการจะคลายจางบางลง จนเป็นหนึ่งเดียวกับออกซิเจน
น้ำค้างที่หยาดรดหยอดหยดอยู่บนใบไม้ในแต่ละใบ เราไม่อาจทราบได้เลยว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากทางไหน และเริ่มจากที่ใบไม้ใบไหนก่อน
ต่างอะไรกับคำว่า "กรรมเก่า" คำนี้ที่เราทุกคนมีมาแต่ก่อนเกิด แต่เราไม่อาจทราบได้เลยว่า มาจากไหน เริ่มต้นอย่างไร มีที่มาอย่างไร แล้วจะไปไหน แต่เราทุกคนย่อมรับรู้ว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง
เมื่อจุดเทียนไขหนึ่งเล่ม เปลวแห่งแสงไฟสว่างไสว ตามจังหวะของออกซิเจน แต่เมื่อเราเป่าเทียนนั้นดับ เราไม่อาจทราบได้เลยว่า ไฟนั้นหายไปไหน มีอยู่หรือไม่
กรรมที่เราทำในปัจจุบันก็เช่นกัน เราสร้างกรรมในฝ่ายกุศล ในอกุศล เราไม่อาจทราบได้เลยว่า กรรมนั้นถูกแปรรูปไปเป็นอะไรบ้าง หรือ ว่าหายไปในจักรวาลแล้ว
ดังนั้น เรื่องของกรรมต่างๆ ถ้าเรามิใช่ผู้มีสัพพัญญูเรามิอาจทราบเรื่องกรรมของผู้อื่นได้เลย โดยเฉพาะกรรมจากอดีตชาติ แค่ร่างกายของเรา สิ่งที่เป็นธาตุแห่งฮาร์ดแวร์ เรายังสำเหนียกได้ว่ามีแค่ ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ความจริงมีมากกว่านั้น ดุจเช่น อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ
กรรมเก่ามีอยู่จริง แต่ธรรมชาติไม่อาจให้เรารับรู้ได้ ถ้าจะตั้งคำถามว่า กรรมนี่เป็นเหมือนวีซ่าที่จะทำให้เราไปอยู่ในภพภูมิที่ดีใช่ไหม คำตอบ คือ ใช่ เมื่อเป็นนั้นวันนี้ควรพึงสร้างกรรมไว้
1 ไม่พยายามทำให้ใจเราหม่นหมองเมื่อมีสิ่งใดเข้ามากระทบ
2 จะไม่คิดกับผู้อื่นในมุมที่ไม่ดี และจะคิดทุกอย่างตามความจริง
3 ไม่ใช้ชีวิตแค่เพียงด้วยหู คือ ฟังอย่างเดียว แต่จะใช้ใจด้วยร่วมกับสมองว่าสิ่งที่จะทำนั้นดีหรือไม่
แค่เพียง 3 ข้อ ชีวิตนี้จะมีความสุขมากขึ้นอีก เรามาสร้างกรรมใหม่ไว้เป็นวีซ่าหอบพาตัวเราไปภพภูมิที่กว่า นี่คือ สิ่งที่เรากำหนดพฤติกรรมของเราในปัจจุบันได้ ใครทำแบบนี้ชีวิตจะมีแต่ความสุขตลอดไป