ในอดีตกาลก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกตกล่มสลาย พระอัยการตัวบทกฎหมายระบุลักษณะความเปนโจรของคนในสังคมไว้ 13 ประเภท โจรลักเลียม เปนหนึ่งในนั้น
ลักษณะกับนิยามความหมายของไอ้โจรร้ายประเภทนี้ คือมันมีการชอบลักของ พอถูกจับได้ก็ยิ้มแหะๆ บอกให้การเปนภาษาปัจจุบันว่า ‘หยอกๆ’
อ้างกับเจ้าพนักงานว่าไม่ได้ขโมยไปจริงจังหรอกครับล้อเล่น _หนอยยย!
ดังนี้พระอัยการท่านว่าให้ลงโทษกำหนดทัณฑ์ แต่จะหนัก_เบา อย่างไรนั้นไม่ทราบแน่ อีทีนี้ถ้าว่าจะให้เด็ดขาดลงไปมันก็ต้องว่าอย่ากระนั้นเลย เอาไปประหาร! มิเช่นนั้นประชาชีกรุงศรีจะเอาอย่าง ยิ้มย่องแหะๆ กันอยู่ร่ำไป เวลาไปลักได้ของร้ายของโจรกันมา!!
ส่วนอันว่ากระบวนการประหารนักโทษของท่านในยุคนั้น พระยาราชสุภาวดีมีหน้าที่ออกนั่งศาล กางบาญชีชำระความได้เปนสัตย์ ก็ออกแบบวิธีประหัตถ์ประหารให้สมตามฐานานุโทษ ซึ่งมีอยู่หลายกรรมวิธีน่าสยดสยอง
จะเปิดกะโหลกออกแล้วเอาถ่านไฟร้อนๆหยอดใส่มันสมองให้ผลาญพล่าฉี่ฉ่าจนตายดิ้นก็มี (นาทีนี้ให้อนุสรณ์คำนึงถึง ดร ฮันนิบาล เล็กเตอร์ สวมบทบาทโดยแอนโธนี ฮอปกินส์ เจอนักสืบตามล่าแล้วทำซ่าอวดโอ่ แกเลยวางยาสลบแล้วเปิดกบาล หั่นตัดเอาชิ้นสมองมันๆ มาทอดจี่ปรุงรส กินอย่างกับฟัวกราส์ และที่บ้าไปกว่านั่น_แกเอาให้เจ้าของสมองกินด้วย! ซึ่งอีตานักสืบชะตาขาดก็เบลอๆกินอย่างงงๆและอร่อย โอ้..บ้าไปแล้ว สำหรับหนังสือและภาพยนต์ไตรภาค ++ อย่าง ไซเลน ออฟ เดอะแลม ในนามกรไทยว่า อำมหิตไม่เงียบ.. บรื๋อว์)
ส่วนวิธีอื่นๆนั้น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ให้ทุนอ. ดร. วินัย พงศ์ศรีเพียร ผู้ศิษย์เก่า SOAS และ บริสตอล ไปค้นคว้า ท่านทำตำราสรุปเปนตารางมาให้ดังนี้ มีหมดเหมือนกันเรื่องความสยอง ตั้งกะ ตัดหนังหน้าผูกเปนปมสอดไม้ถลกหนังหัว แล้วเอาทรายหยาบขัดกะโหลกที่เพิ่งจะถูกถลกนั่นทั้งเปน เชือดเนื้อเปนริ้วๆและเดินย่ำแผลจนกว่าจะตาย ทุบกระดูกให้แตกโดยเนื้อไม่ขาด ขังหมาดุให้โซเต็มที แล้วปล่อยออกมากินเนื้อนักโทษทั้งเปนจนเหลือแต่กระดูก เชือดกินเนื้อนักโทษมาทอดให้ตัวนักโทษเองกิน!! โอยย ตายๆ ตายเองซะดีกว่า
โจรอีกประเภทที่ท่านกำหนดลักษณะไว้ละเอียดดี ได้แก่ พวกโจรวิสาสะเคหา หรือ วิสาสคาหโจร เปนโจรชอบถือวิสาสะหยิบขโมยสิ่งของคนในครอบครัวเคหสถานนี่ก็น่าสนใจ ฝ่ายโจรทั่วไปที่ลักของโจรกันเอง ท่านว่าไอ้นั่นชื่อ ทามภริกะโจร! ฮั่นแน่!!
ข้างโจรสาระ มันจะขโมยของเปนแก่นสาร เช่น พระพุทธรูปยังงี้ ต่างกับสาระพะโจร ที่มันขโมยสารพัดไม่สนว่าของนั่นมีแก่นสารหรือว่ามีค่าไหม55
ส่วนตำราโจร หรือการเปนมิจฉาชีพนั้น ข้ามมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้งหนึ่งเจ้าคุณเทศาภิบาล จับโจรชั้นครูได้โจรหนึ่ง ชื่อว่าโจรจันทร์เจ้า เจ้าคุณเทศาภิบาลในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้มีเทคนิฆการสอบสวนครูโจรได้ผลเปนอย่างดี ไม่มีหรอกจะต้องเอาถึงพลาสติกคลุมหัวตัดอากาศหายใจหรือเอาไฟไปลนจี้ถุงไข่ให้ไหม้เฟอะฟะ
ท่านใช้วิธีพรากโจรจากถิ่นคุ้นเคยที่ปทุมธานี เอาขึ้นมาขังและสอบสวนที่นครปฐม
ครูโจรออกจากบ้านมาก็ใจแป้วกึ่งหนึ่งแล้ว แลไปที่นครปฐมมิเจอผู้ใดรู้จักกำลังใจก็หายหด ท่านขังไว้เวลากลางวันแล้วให้เอาตัวออกมาเวลากลางคืน มานั่งรอดูท่านทำงานให้ห้องทำงาน นานๆทีท่านก็ถามว่า ‘จะรับรึยัง?’ พอครูโจรบอกปฏิเสธ ท่านก็หัวเราะใส่ โม่โฮ่ๆ แล้วทำงานต่อไป พลางรำเพยตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ตอน prisoner dilemma ให้ได้ยินว่า ‘คนอื่นเขารับหมดล่ะหนา’
ครูโจรก็แทบเปนบ้า เพราะวิชากดดันเนิบๆเช่นนี้เอง ไม่รับก็โดนเพื่อนซัดทอดว่าโทษหนัก แต่ถ้ารับก็โทษเบา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพื่อนโจรรับจริงไหมหรือว่าเทศาโกหก คิดๆแล้วก็ปวดหัวปวดใจ
ท่านเทศาใช้วิทยาการพรรค์นี้เล่นกับใจโจรอยู่สามวัน โจรจันทร์ก็เลิกทำเจ้า ตกลงรับสารภาพสิ้นไส้
เวลานั้นกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมณฑลนครชัยศรีพอดี เห็นว่าเปนกรณีน่าสนใจ จึงโปรดฯให้ท่านเทศาพาโจรจันทร์มาเข้าเฝ้า ตรัสถาม
เสด็จท่านพิจารณาดูท่าทางโจรนี้ก็แลดูผู้ดี หาได้มีกิริยาถ่อยสถุลสกุลไพร่แต่อย่างใดเลย
โจรจันทร์เจ้ากราบบังคมทูลพระกรุณา ว่าเปนด้วยกิริยาอัชฌาศัยเคลือบเอาไว้ส่วนหนึ่ง เปนด้วยมีประสพการณ์เคยเฝ้าเเหนแห่เข้าเจ้าเข้านายมาบ่อยๆอีกส่วนหนึ่งจึงมิได้มีความประหม่าคลาไคลหรือมีใจมุทะลุ
ด้วยเปนที่รู้กันว่าว่า เกล้ากระหม่อมนายจันทร์ เปนนักเลงเมืองปทุมใจคอกว้างขวาง พรรคพวกมาก ประดาข้าหลวงผู้ใหญ่จ้าวนายต่างๆมาเมืองปทุมไซร้ เรียกให้ไปหาพบหน้าค่าตาประสามิตรผูกไว้เปนประจำ จึงมีความช่ำชองในการสมาคมมารยาทจรรยา
จึงมีพระกรุณาให้โจรจันทร์ (เจ้า)รับประทานการสัมภาษณ์จักได้ถ่ายทอดแนวคิดและวิธีปฏิบัติของโจร เพื่อทรงบันทึกเปนตำราไว้ใช้ในการศึกษาของเหล่าข้าราชการปฏิบัติงานแผ่นดินต่อไป เปนตำราวิชาโจรว่างั้น
หลักการสำคัญที่โจรจันทร์ถ่ายทอดไว้มีอยู่ว่า การจะออกปล้นเจ้าทรัพย์ที่ใดๆต้องมีการวางสายข่าวสืบเสียก่อน ว่ารวยทรัพย์มากไหมเพียงใด มีกำลังสู้กลับมากไหม ไม่งั้นไม่คุ้มปล้น โจรก็รักชีวิตเหมือนกัน จันทร์เกล้ากราบทูล แล้วถวายรายงานต่อว่า ถ้ามีกำลังโจรมากกว่าเจ้าทรัพย์ตั้งเท่าหนึ่ง จึงจะออกปล้น
ทรงถามว่า “คนชนิดใดที่เป็นสายให้โจรปล้นบ้าน?”
โจรจันทร์เจ้าเฉลยว่า สายมักอยู่ในคน ๓ ชนิด คือ คนรับใช้อยู่ในบ้านเจ้าทรัพย์ที่อยากได้เงินชนิดหนึ่ง สองคือ เพื่อนบ้านที่เป็นอริคิดล้างผลาญเจ้าทรัพย์ สามคือ ญาติที่โกรธเจ้าทรัพย์เพราะขอเงินไม่ให้
ดังนี้แล้วท่านผู้อ่านได้ทราบตำราโจร ก็ควรระมัดระวังกันไว้ให้จงดีถึงผู้มีพิษสงใกล้ๆตัว
ทรงถามว่า “โจรที่ขึ้นปล้นเรือนนั้น ไฉนจึงรู้ว่าเขาเก็บเงินทองไว้ที่ไหน”
ตอบว่า “โจรก็ไม่รู้ว่าเงินทองเก็บไว้ที่ไหน ต้องขู่หรือทำทรกรรมบังคับให้คนในเรือนนำชี้จึงได้ทรัพย์มาก ถ้าจับตัวคนในเรือนไม่ได้ พวกโจรต้องค้นหาเอง มักได้ทรัพย์น้อย เพราะการปล้นต้องรีบให้แล้วโดยเร็ว มิให้ทันพวกชาวบ้านมาช่วย”
ต่อไปจะปล้นต้องรวบพวก โจรโบราณก็มี
การกรีดเลือดสาบานอยู่เหมือนกัน ด้วยกลัวจะมีการหักหลัง ส่วนพระสงฆ์องคเจ้าเทวดา ประดาโจรก็ไหว้กราบทั้งยังถือโชคลาง
ในยุคโจรจันทร์เจ้านั้นพัฒนาแล้วไม่ได้กรีดเลือดสาบานกันหรอก ใช้เหล้าขาวที่เอามากินกันว่าสัจจะสาบานเอานิ้วจุ่มแล้วเอามาคาดคอ เหมือนว่าถ้าผิดคำสาบานก็ให้คอขาดตายดังนี้
ส่วนอันคำว่าสัจจะไม่มีในหมู่โจรนั้น ท่านว่ามันมีอยู่จริง แต่ทว่าเขาถือกันเฉพาะตอนออกปล้น และแบ่งทรัพย์ครั้งแรก ส่วนว่าสำเร็จแล้วภายหลังรอบสองการณ์จะเเบ่งจำหน่ายถ่ายโอนทรัพย์รอบแรกที่ได้มาและจัดสรรแจกไปแล้วอย่างไรๆ ใช้วิชาโจรต่อกันปล้นกันเองอีกทอดได้ไม่ถือว่าผิดสัจจะกติกา แหม่_มิน่าเล่าไอ้ทามภริยะโจร!
ส่วนว่าการผ่องถ่ายฟอกทรัพย์นั้นโจรไม่ค่อยชอบ โจรสมัยโจรจันทร์ชอบของ liquid มีสภาพคล่องสูงมากกว่า วัวควายไม่ชอบปล้น มันวุ่นวายต้องไปเอาขายจำหน่ายทรัพย์
ท่านใดสนใจคำให้การของโจรจันทร์เจ้า สามารถติดตามได้เอง กับตำรา ‘สนทนากับผู้ร้ายปล้น ปี 2446’ รับรองว่าสนุกได้สาระ ไม่เปนสาระพะโจรแต่อย่างไร
หนึ่งในข้อสาระที่ปรากฏในหนังสือ สนทนากับผู้ร้ายปล้นนี้ โจรจันทร์ท่านแนะเบาะแสว่า โจรอย่างพวกท่านนั้นแฝงอยู่ในคำว่านักเลง ที่ทางการบ้านเมืองไปไหนๆแล้วมีนักเลงประจำถิ่นอยู่นั่นล่ะหัวหน้าโจรล่ะ สืบข่าวตรวจประวัติการใจถึงใจนักเลงกันเสียให้ดี
ข้างนักเลงอิตาลีในสหรัฐอเมริกาวันนี้มีวลีบาดใจยามเมื่อใครมากล่าวหาว่าแกและคณะเปน gangster-ซึ่งนิยามความหมายแปลไทยแล้วได้ความว่าโจรไพร่ แกอยากให้เข้าใจเสียใหม่ว่าแกมิได้เปนอะไรหยาบไพร่พรรค์ยังงั้น
แกตะหากเปน บิสสิเนสแมน - I am a businessman
ผู้คนก็ทักถามกันว่า businessman เนี่ยน่ะรึพ่อมาเฟีย แล้วทำธุรกิจอะไรกันล่ะถ้ายังงั้น?
มาเฟียอิตาลี่ผู้ใจถึง เพิ่งจะให้คำตอบว่าก็ ‘my business is a crime,’ ก็ธุรกิจที่ทำนี่มันเปนกิจการอาชญากรรม_ก็แค่นั้น
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 หน้า 18 ฉบับที่ 3,837 วันที่ 20 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565