ตามพระธรรมวินัย ปืนถือเป็น วัตถุอนามาส
พระพุทธเจ้า ทรงห้ามพระภิกษุเข้าไปยุ่งกับวัตถุอนามาส คำว่า อนามาส คือ ไม่ควรเข้าไปจับต้อง ครอบครอง หรือเข้าไปยุ่งอันได้แก่
(จากหนังสือ “วินัยมุข” เล่ม 2 พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส)
สิ่งที่น่าขบคิดตามมาก็คือการที่เด็กสามารถขโมยปืนจากพระภิกษุมาได้ นั่นหมายความว่าพระภิกษุมีปืนไทยประดิษฐ์ .38 ที่นำไปก่อเหตุจริงหรือไม่
แต่การที่อยู่ในฐานานุรูปแห่งความเป็นพระภิกษุแล้วการพกปืนเป็นสิ่งที่ไม่พึงควรกระทำอย่างยิ่ง มันเป็นโลกวัชชะคือโลกติเตียน และเป็นข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ชัดเจน
ถ้าปืนนั้นเป็นของพระภิกษุจริง พระภิกษุรูปนั้นควรจะต้องรับผิดชอบในอาวุธปืนนั้นด้วย
และต้องให้ข้อมูลตามความเป็นจริง ว่าปืนนั้นได้มาอย่างไร ครอบครองอย่างไร
พระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบลเจ้าคณะอำเภอจังหวัด ตลอดทั้งมหาเถรสมาคมจะนิ่งนอนใจเรื่องนี้เสียไม่ได้ เพราะทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรสงฆ์ในประเทศไทยเสียหาย เมื่อข่าวตีแผ่ไปไกลถึงต่างประเทศ
อีกประเด็นหนึ่งถ้าพระภิกษุรูปนั้นมีอาวุธปืนแล้วเป็นผู้หยิบยื่นให้กับเด็กผู้ที่ก่อเหตุ นั่นเท่ากับว่าเป็นการส่งเสริม และทราบกันดีอยู่แล้วว่าการกระทำเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงเจตนา พระภิกษุรูปนั้นอาจเข้าข่ายความผิดอาบัติปาราชิกด้วย
คำว่า อาบัติปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระซึ่งประกอบด้วย
จะสั่งให้ฆ่าหรือฆ่าเองก็ถือว่าผิดปาราชิก เรียกได้ว่า อเตกิจจา คือโทษที่แก้ไขไม่ได้ในทางพระธรรมวินัย
ขนาดวัตถุอนามาสยังมีครอบครองได้ เรื่องมุสาโกหกคงเป็นอาจิณอาบัติกินไปทั้งตัวกลายเป็นเหลืองห่มตอแล้วก็มิรู้ความ
พระภิกษุ ยังพึ่งอาศัยการเลี้ยงชีพด้วยบิณฑบาตหรือขอเขากิน หากมีพฤติกรรมมีอาวุธปืนครอบครอง
นับเป็นสิ่งที่สังคมไทยและชาวพุทธสะเทือนใจเป็นอย่างมาก และก็ไม่รู้ว่ายังมีผู้ที่เป็นพระ มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้หลงเหลืออีกกี่คนกี่รูป
อย่าต้องถึงขนาดให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เข้ากวาดตรวจอาวุธในศาสนสถานกันเลย
พระรูปใดถึงขนาดมีปืนในกุฏิได้ ไม่แน่อาจเป็นมาเฟียมากกว่าธัมมาธัมโม ด้วยซ้ำ
วัดเป็นศาสนาสถาน เข้าไปแล้วมีประตูอยู่ 3 บานให้เลือก คือ
เลือกกันให้ดี ทำกันให้ดี อย่าต้องให้พระภิกษุที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอีกหลายๆรูป พลอยมัวหมองครองกาสาไปด้วย จากสายตาของศรัทธาสาธุชนเลย