ปมในใจ

10 ม.ค. 2567 | 22:30 น.

ปมในใจ คอลัมน์ ทำมา ธรรมะ โดย ราชรามัญ

เอาจริงๆ แล้วคนทุกคนต่างก็มีปมในใจที่สะสมเรื่องราว ที่ตัวเองไม่พึงชื่นชอบเอาไว้ด้วยกันทุกคน ไม่มีใครเลย บนโลกใบนี้ เกิดมาแล้วไม่มีปมในใจ เพียงแต่รูปแบบหรือเรื่องราวของปมในใจนั้นแตกต่างกันออกไป บางคนมีปมในใจ ในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง บางคนมีปมในใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์เรื่องคนรัก บางคนมีปมในใจเกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงลูก 

ต้องยอมรับว่าในยุคนี้ไลฟ์โค้ช มีมากมายหลากหลายรูปแบบและพยายามแนะนำให้ผู้คนละลายปมในใจของตัวเองโดยมีความเชื่อว่า จะทำให้ชีวิต มีความสุขมากยิ่งขึ้น อาจจะมองว่า การมีปม เป็นสิ่งที่สกัดกั้น เป็นสิ่งที่ไม่ดี ที่จะทำให้เราไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต แต่ ถ้าเรามองอีกมิติหนึ่งเราอาจจะเห็นได้ว่า ปมต่างๆ ในใจนั้น ต่างก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน

ประโยชน์ที่ชัดเจนแน่นอนอย่างแรกก็คือ ปมเหล่านั้นจะคอยเตือนตัวเรา สะกิดตัวเราเมื่อมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วจนเป็นปมในใจเรานั้น จิตใต้สำนึกและปมนั้นจะทำงานทันทีเพื่อที่ จะไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก ปมในใจจะคอยสะกิดให้เรามีสติและเกิดการระมัดระวัง ไม่ให้ซ้ำรอยเดิม กับสิ่งที่เราเคยประสบมา นี่เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการมีปมในใจ

ถ้าจะถามกันแบบตรงไปตรงมาว่า คนที่มีปมในใจในเรื่องต่างๆ ชีวิตเขาไม่สามารถมีความสุขได้จริงๆ หรอ ก็ต้องตอบว่าไม่จริงเสมอไป ดังนั้นการที่เรามีปมเรื่องใดเรื่องหนึ่งในใจหรือปมหลายเรื่องในใจก็ตาม ถ้าเราเข้าใจในปมนั้นๆ เราก็จะเข้าใจว่า อะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้ปมเกิด แล้วเราจะระงับไม่ให้เหตุแบบนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีไหนอย่างไร

ซึ่งเป็นการดับทุกข์ที่ต้นเหตุอย่างแท้จริงตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็มีหลายคนมักพยายามชี้ให้เห็นว่าการมีปมในใจนั้นเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณประโยชน์ เราไม่อาจตัดสินได้เลยว่าการที่เขามีความเชื่อแบบนี้ถูกหรือว่าผิด แต่ที่แน่ที่สุด คือ เขาใช้หลักตรรกะความคิดความรู้ของตัวเขาเองเป็นที่ตั้ง มากกว่าจะมองภาพรวมทั้งหมด

ดังนั้นถ้าคุณจะใช้หลักและฐานทางความคิดในมุมของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า ที่ทรงย้ำเตือนอยู่เสมอว่า อย่าไป ใส่ใจกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว มากไปนักและไม่ควรใช้ชีวิตประมาท นั่น ท่านไม่ได้หมายความว่าให้ทิ้งอดีตแต่ท่านบอกว่า ไม่ให้เข้าไปอยู่กับอดีตกลับกันให้เอาอดีตมาคอยเตือนตนด้วยการไม่ให้ใช้ชีวิตด้วยความประมาท

แต่บางครั้งปมบางอย่างก็ควรที่จะละลายออกจากจิตใต้สำนึก ถ้าปมนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายใจเราเองตลอดเวลา แต่ปมไหนถ้าไม่ได้ทำร้ายจิตใจของเราเองก็ควรปล่อยปมนั้นให้ตกตะกอนนอนก้นอยู่ในจิตใต้สำนึกอย่างนั้นอย่าไปทำลายล้างใดๆ เลย เอาไว้คอยเตือนตน เอาไว้คอยให้มีสติไม่ประมาทในการใช้ชีวิตใดๆ 

หวังว่าเรื่องปมในใจวันนี้คงจะเคลียร์ให้หลายๆ คนไม่รู้สึกย่ำแย่ เหมือนแต่ก่อน และมีสติในการใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท เพราะหลักวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ กับทุกมิติของชีวิตเสมอ เพราะธรรมะทั้งปวงล้วนแต่เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น ขอให้ทุกคน ทุกท่านประสบความสำเร็จ และสวัสดีมีชัย เหมือนกันทุกๆ คน