วันอัฏฐมีบูชา เป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า หลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพานไป 8 วัน ในวันทำพิธีนี้ กษัตริย์ต่างมาจากทั่วทุกแคว้น แม้บางแคว้นไม่ถูกกันก็ต้องยกเว้นสงครามก่อน
มัลละกษัตริย์แห่งกุสินารา ถามพระอานนท์ว่าจะต้องจัดเตรียมอย่างไรในพระศพ พระอานนท์ได้ให้นำเอาผ้าใหม่มาห่อพระพุทธสรีระแล้วห่อด้วยสำลี จากนั้นผ้าใหม่มาห่ออีกแล้วก็ห่อด้วยสำลี ทำแบบนี้จนครบ 500 คู่ จึงนำพระพุทธสรีระวางในเชิงตะกอนตะแกรงเหล็ก
ครั้นถึงเวลาจุดถวายพระเพลิง จุดไม่ติด ทั้งที่ดอกไม้จันทน์แห้งสนิท พระสงฆ์จึงได้กล่าวว่า เทพเทวดาทั้งหลาย ให้รอพระมหากัสสปะเถระก่อน เมื่อท่านมาถึงก็จะสามารถถวายพระเพลิงได้ เพราะพระมหากัสสปะจะต้องเป็นพระเถระกราบพระพุทธบาทลา
ครั้งหน้าพระมหากัสสปะเถระมาถึง กราบที่พระบาทแล้ว พระเพลิงก็ติดอย่างอัศจรรย์ นี่ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ในวัน อัฏฐมีบูชา
เราชาวพุทธควรระลึกถึงวันนี้ให้ยวดยิ่ง ด้วยการระลึกนึกถึงองค์คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงเสียสละ ความสุขส่วนพระองค์ เพื่อมาค้นคว้าแสวงหาหนทางดับทุกข์ เป็นค้นพบสัจจะความจริง
การสวดมนต์เพื่อสรรเสริญองค์คุณของพระพุทธเจ้าในวันอัฏฐมีบูชา เป็นสิ่งที่ชาวพุทธทั้งหลายพึงควรปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยพุทธานุภาพทั้งหลาย พุทธคุณทั้งหลาย จะขอหุ้มในจิตใจให้มีความสุขปิติในธรรม
ในประเทศไทยให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชา แต่วันที่ถวายพระเพลิง คือวันอัฏฐมีบูชานั้น มิได้มีการนำเสนอให้ความรู้มากเท่าที่ควร ว่าเป็นวันสำคัญอย่างไร ดังนั้นขอถือโอกาสนี้ ชักชวนให้ชาวพุทธทั้งหลาย น้อมใจให้สงบ
เพื่อน้อมรำลึกถึง พระพุทธเจ้า บุคคลของโลก ที่ไม่รู้ว่าอีกกี่อสงไขยแสนกัป จะมีบุคคลลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าอีกสักครั้ง
ดังนั้น ในตอนนี้ที่เราได้มีความรู้ แลได้เห็นได้ฟังพระธรรมพระสงฆ์ เราควรที่จะระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าให้มากเข้าไว้ แล้วชีวิตของเราจะมีแต่ความสงบสุขโดยธรรม
ความรู้ทั้งหลายบนโลกใบนี้ เป็นความรู้แห่งเดรัจฉานทั้งสิ้น เมื่อเทียบกับความรู้ในธรรมะของพระพุทธองค์