*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3833 ระหว่างวันที่ 6-9 พ.ย.2565 โดย “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** “ขายชาติ” เป็นคำที่มีความพยายามจุดพลุขึ้นมาให้เป็นประเด็นของสังคม เพื่อถล่ม “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2565 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว โดยจะได้รับสิทธิครอบครองที่ดินไม่เกิน 1 ไร่ มีเงินลงทุนในธุรกิจไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท และไม่น้อยกว่า 3 ปี ซึ่งร่างกฎกระทรวงนี้ จะมีระยะเวลาบังคับใช้ 5 ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดย 4 กลุ่มคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูง 4 ประเภท ที่สามารถได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ภายในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล หรืออยู่ภายในบริเวณที่กำหนดเป็นเขตที่อยู่อาศัย ตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองได้แก่ 1.กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง 2.กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ 3.กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ 4.กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ
*** สำหรับเหตุผลของรัฐบาลที่เสนอมาตรการให้คนต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทยและซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ 1 ไร่นั้น เพื่อต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุน เพราะกำหนดให้กิจการที่มาลงทุนนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ หรือเป็นกิจการที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ประกาศ ให้เป็นกิจการที่สามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนได้
*** แต่คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลและออกมาคัดค้านในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และเครือข่ายภาคประชาชนค้าน กลับมองว่า เป็นการ “ขายชาติ ขายแผ่นดิน” เพราะแม้จะกำหนดระยะเวลาแค่ 5 ปี ก็เพียงพอที่จะทำให้เมืองไทยไร้แผ่นดิน เพราะนายทุนโลกที่มีศักยภาพทั้งสีเทา สีดำ สีขาว ต่างสามารถมาช้อนซื้อที่ดินได้เป็นจำนวนมาก ดังปรากฏว่ากลุ่มทุนจีนสีเทาเข้ามาหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในประเทศไทย ส่วน “พรรคเพื่อไทย”ออกแถลงการณ์ แสดงความวิตกว่า การถือครองที่ดินของคนต่างด้าวจะมีผลกระทบต่อชีวิตของคนไทย แทนที่จะคำนึงถึงการช่วยเหลือคนไทยจำนวนมากที่ยังไม่มีบ้านและที่ดินเป็นของตัวเองทั้งในปัจจุบัน และในอนาคตที่ลูกหลานเติบโตขึ้นมาจะต้องซื้อบ้านและที่ดินในราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น พร้อมย้ำว่า ถ้ารัฐบาลนี้เดินหน้าตามที่มีมติ ครม. พรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าคัดค้าน และถ้าพรรคเพื่อไทยได้รับความไว้วางใจจากประชาชนไปเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง พรรคจะดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงเรื่องการซื้อที่ดินของคนต่างด้าว ขณะที่ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ก็ได้ไปยื่นร้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อฟ้อง ครม.ในเรื่องดังกล่าว ฐานใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ
*** ในมุมมองของ ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เห็นว่า เงินที่จะนำมาลงทุนก็ต้องเป็นเงินที่ขาวสะอาด ไม่ใช่เงินที่มาจากธุรกิจที่ผิดกฏหมาย เป็นการฟอกเงิน และเมื่อนำมาลงทุนแล้วก็ต้องตามต่อว่า คนที่เข้ามาลงทุนได้ดำเนินกิจกรรมอะไรในประเทศที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเข้ามาทำธุรกิจสีเทา สีดำ หรือ เข้ามาปั่นเก็งกำไรที่ดิน สิ่งที่รัฐทำได้ คือ การกำหนดให้ผลดีต่อประเทศเกิดขึ้นสูงที่สุด และจำกัดผลลบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด ซึ่งพอจะอธิบายออกมาเป็นข้อๆ สำหรับข้อเสนอ ดังนี้กำหนดการลงทุนที่ต้องเป็นเงินที่ใสสะอาด, ที่ดินที่ซื้ออาจกำหนดว่าต้องเป็นอสังหาฯที่ผลิตโดยบริษัทไทย ไม่ใช่ซื้อที่ดินเปล่าและไม่สร้างเป็นที่อยู่อาศัย, ต้องเสียภาษีที่ดิน และภาษีกำไรการขายอื่นๆ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีข้อยกเว้น, กำหนดโซนที่จะให้ซื้อขายที่สำหรับต่างชาติเป็นการเฉพาะ เพื่อไม่ให้แย่งที่อยู่อาศัยคนไทย, มีการติดตามว่าคนที่เข้ามาไม่ไปประกอบธุรกิจที่ผิดกฏหมาย, ต้องติดตามว่ามีการลงทุนจริง ไม่มีการเก็งกำไรที่ดิน อาจจะกำหนดโควต้าต่อปี เช่น ไม่เกิน 1,000-5,000 ไร่ที่ต่างชาติสามารถซื้อได้ในแต่ละปี
*** แม้มาตรการให้คนต่างด้าวถือครองที่ดินในประเทศไทยได้ 1 ไร่ จะผ่านครม.เห็นชอบหลักการไปแล้ว แต่ยัง “ไม่จบ” เพราะขณะนี้ได้ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน ซึ่งก็อาจมีการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงเรื่องดังกล่าวได้ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บอกว่า แม้ ครม.จะมีมติอนุมัติในหลักการไปแล้ว แต่ยังสามารถมีการทบทวนร่างกฎกระทรวงดังกล่าวได้ ใครที่ออกมาแสดงความคิดเห็น บางคนก็เสนอให้มีการเติมเงื่อนไข ซึ่งรัฐบาลยินดีรับไว้พิจารณา อาทิ ข้อเสนอที่ห้ามมีการนำไปขายต่อ ห้ามมิให้ผู้ซื้อที่ดินนำที่ดินมาต่อรวมกัน ร่างดังกล่าวเป็นเพียงร่างแรก ทุกครั้งที่เราพูดถึงกันเรื่องขายที่ดินให้ชาวต่างชาติ ก็มักจะมีการพูดถึงเรื่อง “ขายชาติ” และจะมีอีกฝ่ายออกมาตอบโต้ว่าไม่ใช่การขายชาติ เพราะคนต่างชาติเหล่านั้นก็ไม่สามารถนำที่ดินหนีบรักแร้กลับไปประเทศของเขาได้ จึงมีการเถียงกันอย่างนี้มาตลอด ตนอยู่มาตั้งแต่สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เสนอเรื่องนี้ แต่ในตอนนั้นทำไม่สำเร็จจึงได้เลิกไป จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ก็ทำได้สำเร็จ และบังคับใช้เรื่อยมา การปรับเกณฑ์ก็เพราะอยากให้เพิ่มจำนวนคนซื้อมากขึ้น ส่วนหากรัฐบาลเปลี่ยนใจให้พักเรื่องนี้ไปก่อน จะส่งผลอย่างไรหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้มีกระแสต่อต้านมาก นั้น วิษณุ บอกว่า “ถ้ามีกระแสต้านเข้ามามาก รัฐบาลก็จะนำมาพิจารณา” ...เล่นกับเรื่องที่ดิน และตามมาด้วยการตั้งข้อครหาว่า “ขายชาติ” เป็นประเด็นทางการเมือง รอดูว่า “รัฐบาลประยุทธ์” จะเดินหน้าเรื่องนี้ ปรับปรุงแก้ไข หรือยกเลิกไปเลยหรือไม่...
*** ปิดท้ายกันที่... นิพนธ์ บุญญามณี อดีตรมช.มหาดไทย ในนามครอบครัว “บุญญามณี” ขอกราบขอบคุณท่านที่เคารพ เครือญาติ เพื่อนสนิท มิตรสหายทุกท่าน ที่เดินทางร่วมงานสวดพระอภิธรรมและงานพระราชทานเพลิงศพ คุณแม่จิ้ว บุญญามณี และร่วมวางพวงหรีด ร่วมทำบุญมอบเงินสมทบทุนให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ในการก่อสร้างอาคาร “เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน” เพื่อเป็นศูนย์รับบริจาคอวัยวะ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ รวมยอดเงินทำบุญทั้งสิ้น 5,005,103 บาท ขอขอบพระคุณครับ