โค้งสุดท้าย-การเมืองอเมริกาเข้มข้นหนัก!

23 ก.ย. 2567 | 22:00 น.
อัพเดตล่าสุด :23 ก.ย. 2567 | 22:12 น.

โค้งสุดท้าย-การเมืองอเมริกาเข้มข้นหนัก! โดย ศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล

เหลืออีกเพียงประมาณ 40 กว่าวันเท่านั้นจะเข้าโค้งสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงระหว่างรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส (KAMALA HARRIS) กับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (DONALD TRUMP) ซึ่งเข้มข้นพอสมควรในรัฐที่คะแนนค่อนข้างสูสีระหว่างทั้งสองคู่แข่งที่เรียกกันว่า “สวิงสเต็ท (SWING STATE)” หรือ “รัฐที่ยังไม่แน่นอนว่าจะเลือกใครดี?”

แต่เท่าที่ติดตามผลคะแนนนิยมจากการลงสนาม “แบตเติ้ลกราวน์ (BATTLE GROUND)” ที่เหลือประมาณ 10 กว่ารัฐนั้น คะแนนของนาง KAMALA HARRIS ค่อยๆ ตีตื้นขึ้นมามาก จนทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์  “เหงื่อตก!” พอสมควร เนื่องด้วยการรณรงค์หาเสียงของนายทรัมป์นั้น หาเสียงแบบเดิมๆ สไตส์เดิม ที่มุ่งโจมตีและขอเสียมารยาทว่า “ใส่ร้าย-โกหก” และเอ่ยถึงเรื่องเก่าๆ ของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” เสียมากกว่า จนผู้เข้าร่วมฟังต่างค่อยๆ ทยอยเดินออกจากสนามการหาเสียง

อย่างไรก็ตาม เราต่างตระหนักดีว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น มีลีลาและการบริหารจัดการแบบออกในแนว “คาวบอย (COWBOY)” และที่สำคัญที่สุด เขามี “การหลอกลวง (FRAUD)” - โกหก (LIE)” เยอะมาก จนทำให้ “คนรุ่นใหม่” และบรรดาสื่อมวลชน โดยเฉพาะบรรดานักแสดงฮอลลีวู้ดทั้งหลายต้องใช้คำว่า “รังเกียจ” เขาแทบทุกคน!

กลุ่มนายทุนที่สนับสนุนนางแฮร์ริส ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองและดาราภาพยนตร์ดังๆ ทั้งหลายไม่ว่า อดีตประธานาธิบดีทั้งสอง อาทิ นายบิลส์ คลินตัน นายบารัค โอบาม่า และจอร์จ คลูนี่ส์ ดาราภาพยนตร์ชื่อดัง เป็นต้น และยังคงมีอีกหลายรายต่างระดมเงินเข้าใส่ “กองทุนการเลือกตั้ง” นางแฮร์ริสอย่างท่วมท้น เข้าใจว่าขณะนี้น่าจะใกล้ถึง 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว

“การโต้วาทีครั้งสุดท้าย (DEBATE)” เมื่อต้นเดือนกันยายนเป็นที่เฝ้าจับตาดูของบรรดาสื่อมวลชนทั่วทั้งโลก และทั้งชาวอเมริกันและชาวโลก จะสังเกตได้ว่าบุคลิกของทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เริ่มตั้งแต่นาง กมลา แฮร์ริส เดินเข้าไปในเขตแดนของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และจับมือ พร้อมแนะนำตัวว่า “ กมลา แฮร์ริส” แบบไม่หวั่นเกรง วิตกกังวล แบบ “สุภาพบุรุษ...เอ๊ย...ไม่ใช่...สุภาพสตรี” อย่างแน่วแน่! 

ต่างกับนายทรัมป์ที่มีสีหน้าไม่ยิ้มแย้ม ไม่โอภาปราศรัย  และตลอดระยะเวลา 90 นาทีเต็ม นางแฮร์ริสมิได้มีอาการตื่นตระหนก บุคลิกของเธอผ่อนคลาย ยิ้มแย้ม มองหน้านายทรัมป์ตลอด พร้อมยิ้มและหัวเราะส่ายหน้า พร้อมจะตอบโต้อย่างมีมารยาทตลอดเวลา แตกต่างกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สีหน้า สายตา ไม่หันมามองนางแฮร์ริสเลยแม้แต่น้อย และสีหน้าเริ่มแดงกล่ำ เหงื่อเริ่มตกเมื่อนางแฮร์ริสตอบโต้กลับประเด็นสำคัญๆ หลายประเด็น โดยเฉพาะกรณี “การหลอกลวง-การโกหก” และ “คดีความมากมาย” ของนายทรัมป์

หลังจากนั้นประมาณสัปดาห์ต่อมา นายทรัมป์ปฏิเสธที่จะโต้วาทีกับนางแฮร์รีสอีกรอบ (คิดว่าคงจะเข็ดหลาบ!) เนื่องด้วยจากการวิเคราะห์การโต้วาทีครั้งแรกระหว่างทั้งสองนั้น ต่างวิเคราะห์กันว่า นางแฮร์ริสต้อนนายทรัมป์เข้ามุมพอสมควร ด้วยลีลาไหวพริบที่ไม่ทันต่อนักกฎหมายและความเชี่ยวชาญอย่างนางแฮร์ริสที่แหลมคมกว่าเยอะมาก (อยู่ที่มุมมองของแต่ละผู้สังเกตการณ์)

จากการที่เฝ้าจับตาดูคะแนนนิยมของทั้งสองฝ่าย แต่ละรัฐนั้นคะแนนนิยมของแฮร์ริสตีตื้นขึ้นนำทรัมป์หลายรัฐ แม้กระทั่งรัฐที่เคยเทคะแนนให้ทรัมป์มาก่อน แต่ปัจจุบันคะแนนล่าสุดหันกลับมาให้นางแฮร์ริส จนทำให้นางแฮร์ริสโดยคะแนนรวมนำนายทรัมป์ประมาณ 8-9 เปอร์เซ็นต์ หรือร้อยละ 57 ของแฮร์ริส และร้อยละ 48-49 ของทรัมป์คะแนนเบี่ยงเบนอยู่ที่ระดับ 0.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ทั้งนี้ “การเมืองก็คือการเมืองที่เหมือนลูกฟุตบอล” เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่เท่าที่สัมภาษณ์บรรดากลุ่มนักวิชาการที่เชี่ยวชาญด้านการเมืองสหรัฐอเมริกา และบรรดาสื่อมวลชนที่เกาะติดการเมืองในอเมริกามานาน ประกอบกับบรรดาเพื่อนฝูงที่อยู่ในอเมริกาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นางแฮร์ริสชนะได้เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ อย่างแน่นอน!”

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันที่อยู่ระหว่างรัฐกลางๆ สหรัฐฯ หรือ “มิดเวสต์ (MID WEST)” อาทิ อาร์คันซอร์ มินเนซอสต้า ไอดาโฮทั้งนอร์ทคาร์โกต้า เซ้าท์คาร์โกต้า โอกลาโฮม่าร์ ไวโอมิ่ง  หรือแม้กระทั่ง รัฐยูทาร์ เป็นต้น อาจจะเทคะแนนให้นายทรัมป์ แต่อาจจะเป็นคนรุ่นเก่าอายุประมาณ 60-80 ปีขึ้นไป

โปรดอย่าลืมบทบาทของคนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิโหวตลงคะแนนครั้งนี้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งเน้นว่าเป็น “คนรุ่นใหม่” ที่เข้าถึง “โซเซียลมีเดีย (SOCIAL MEDIA)” ที่มีจำนวนมาก บวกกับกลุ่มคนเพศเดียวกันที่รักกัน กล่าวคือ “กลุ่มแอลจีบีทีคิว (LGBTQ)” ที่ชอบนโยบายของนางแฮร์ริส และบรรดาผู้ชายทั้งหลายที่หันมาสนใจนางแฮร์ริสมากขึ้น เนื่องด้วยการเลือก “นายทิม วอลส์ (TIM WALZ)” ผู้ว่ารัฐมิเนโซต้ามาเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดี ที่สามารถเอาชนะใจผู้ชายชาวอเมริกันเพิ่มปริมาณมากขึ้น

ถ้าชาวอเมริกันในยุคปัจจุบันที่ฉลาดมากขึ้นยังคงจมปลักกับชายอเมริกันอายุ 78 ปีที่ “หัวโบราณ” แถม “หลอกลวง-โกหก-คดีความ-ข่มขืน” และยังมีอีกหลายคดีตามมาว่า บวกกับ ถ้าได้เขากลับมาเป็นประธานาธิบดีอีก เราลองคิดกันดูว่า “อีก 4 ปีข้างหน้าอเมริกาจะต้องเผชิญหน้ากับสภาวะเศรษฐกิจที่ชำรุดทรุดโทรมมากกว่านี้อย่างไร แถมด้วยการต้องเผชิญหน้ากับประเทศจีน และสารพันปัญหาที่รุมเร้ากับอเมริกาอีก”

นอกจากนั้น นายทรัมป์น่าจะออกอาการ “เลอะ-ชรา” หรือ “ซีนายซ์ (SINILE)” ที่มักจะเป็นกับ “ผู้สูงวัย” ถามว่า นายทรัมป์มักจะพูดจะหาเสียงไม่ค่อยรู้เรื่อง น่าจะออกแนวเลอะเทอะชรา

คนอเมริกาคงต้องเลือกแล้วล่ะว่า “อนาคตกับอดีต...จะเลือกแบบไหน?” ที่มาบริหารประเทศอเมริกา ที่ต้องเผชิญสารพัดสารพันปัญหาทั้งภายในและภายนอกประเทศที่รุมเร้าถล่มหนักแน่!