เลือกตั้งสหรัฐ “แฮร์ริส" ใช้เงินหาเสียงสูงกว่า"ทรัมป์"เกือบสามเท่า

21 ก.ย. 2567 | 10:16 น.
อัพเดตล่าสุด :21 ก.ย. 2567 | 12:24 น.

ศึกเลือกตั้ง ชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ 2024 “แฮร์ริส” จ่ายเงินหาเสียง 174 ล้านดอลลาร์ ในเดือนส.ค. ขณะที่ทรัมป์ใช้ 61 ล้านดอลลาร์ ทั้งคู่มุ่งเน้นการใช้จ่ายไปที่โฆษณา การชุมนุม การเดินทาง และพนักงาน

รายงานการเงินล่าสุดเผยให้เห็นว่า แคมเปญการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ใช้จ่ายเงินในเดือนสิงหาคมสูงเกือบสามเท่าของคู่แข่งอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน

ค่าใช้จ่ายหาเสียงเลือกตั้ง  "แฮร์ริส" VS ทรัมป์ เดือน ส.ค. 2567

ตามข้อมูลที่ยื่นต่อคณะกรรมาธิการการเลือกตั้งแห่งสหพันธรัฐ (FEC) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แคมเปญของแฮร์ริสรายงานการใช้จ่าย 174 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 5,700 ล้านบาท ในเดือนสิงหาคม

 

ในขณะที่แคมเปญของทรัมป์รายงานการใช้จ่ายเพียง 61 ล้านดอลลาร์ หรือ 2 พันล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกัน

ทั้งแคมเปญหาเสียงของแฮร์ริสและทรัมป์ การใช้จ่ายส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การโฆษณา การจัดการชุมนุม การเดินทาง และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร

กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต

โดยแคมเปญของแฮร์ริสยังรายงานการบริจาคเงิน 75,000 ดอลลาร์ให้กับ Detroit Unity Fund ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ทำงานเพื่อเพิ่มการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งของชาวผิวดำในรัฐมิชิแกน

แม้จะมีการใช้จ่ายที่สูง แต่แคมเปญของแฮร์ริสยังคงรักษาสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยจบเดือนสิงหาคมด้วยเงินคงเหลือ 235 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าตอนต้นเดือนเล็กน้อย

ในทางตรงกันข้าม แคมเปญของทรัมป์จบเดือนด้วยเงินคงเหลือ 135 ล้านดอลลาร์ ลดลง 17 ล้านดอลลาร์จากต้นเดือน

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน

นักวิเคราะห์การเมืองหลายคนมองว่า การที่แฮร์ริสสามารถระดมทุนและใช้จ่ายได้มากกว่าอาจเป็นผลมาจากการที่เธอเพิ่งเข้าร่วมการแข่งขันในเดือนกรกฎาคม หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนยุติการลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งและให้การสนับสนุนเธอ

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความได้เปรียบทางการเงินไม่ได้รับประกันชัยชนะในการเลือกตั้ง โดยยกตัวอย่างการเลือกตั้งปี 2559 ที่ทรัมป์สามารถเอาชนะฮิลลารี คลินตันได้ แม้จะระดมทุนได้น้อยกว่า

การแข่งขันระหว่างแฮร์ริสและทรัมป์ยังคงสูสีในหลายการสำรวจความคิดเห็น โดยเฉพาะในรัฐสมรภูมิสำคัญ ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดผลการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้