จากจุดเริ่มต้นเพียงต้องการหารายได้เสริมในช่วงที่ภรรยาคลอดบุตร โดยเลือกจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเด็ก และอุปกรณ์ทางด้านกีฬาบนช่องทางออนไลน์ จนปัจจุบันช็อปออนไลน์ขนาดเล็กที่มีวิธีการขายแบบซื้อมาขายไป โดยการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ได้ก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นช็อปที่มีหน้าร้านเปิดจำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับการวิ่งโดยเฉพาะเพียงอย่างเดียวถึง 7 สาขาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายใต้ชื่อแบรนด์ “Avarin” (เอวาริณทร์)
“อกนิษฐ์ ศรีสุขวัฒนา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอวาริณทร์ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด บอกกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า โอกาสทางการตลาดในระยะแรกมาจากการที่ตนมองเห็นว่าอุปกรณ์กีฬาบางชนิดยังไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย โดยเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายซึ่งผู้ที่จะใช้งานยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องใช้ อีกทั้งยังเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาค่อนข้างสูง เช่น นาฬิกาวัดชีพจร โดยตนต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้บริโภคถึงความจำเป็นเพื่อให้การออกกำลังกายเป็นไปได้ตามเป้าหมายซึ่งก็เริ่มมีลูกค้าที่เลือกซื้อเพิ่มมากขึ้น และทำให้เชื่อว่าช่องว่างทางธุรกิจดังกล่าวนี้น่าจะสามารถไปต่อได้
ทั้งนี้ ในช่วงประมาณปี 2556-2557 กีฬาประเภทวิ่งในไทยยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าใดนัก แต่ตนก็มองเห็นช่องทางในการทำตลาดตรงนี้ โดยเริ่มทำเป็นร้านเฉพาะสำหรับอุปกรณ์ออกกำลังกาย ซึ่งเน้นหลักไปที่กีฬาประเภทวิ่ง โดยเมื่อดำเนินการไปได้ระยะหนึ่งลูกค้าเริ่มตอบสนองเข้ามามากขึ้น เพราะอุปกรณ์ที่จำหน่ายบวกกับการให้องค์ความรู้ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งมาจากความคิดที่ว่ากีฬาไม่ได้เป็นแค่เพียงแฟชั่นแต่ต้องมีเรื่องของประสิทธิภาพเข้ามาผสม เพื่อทำให้การออกกำลังกายทำได้ดีขึ้นตามเป้าหมาย
“อุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่นำมาจำหน่ายมาจากความต้องการของนักวิ่ง หรือนักกีฬาด้วยกันโดยนำเข้ามาจากต่างประเทศ หลังจากนั้นจึงเริ่มไปเจรจากับแบรนด์โดยตรงเพื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายในไทยแต่เพียงผู้เดียว โดยการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ ความกระตือรือร้น (Passion) และแนวทางในการทำธุรกิจจนเจ้าของแบรนด์ให้ความไว้วางใจ หลังจากนั้นแบรนด์อื่นๆก็ทยอยตามมาจากความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น (Potential)ในตลาดของไทย ที่ใหญ่กว่าสิงคโปร์ และฮ่องกง”
อกนิษฐ์ กล่าวถึง กลยุทธ์การทำตลาดของ เอวาริณทร์ ปีนี้ ยังคงมุ่งเน้นไปทางการทำตลาดบนช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการสร้างเพจเฉพาะของทางร้าน เพื่อเป็นการให้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา เสมือนเป็นอีกสังคมหนึ่งเพื่อเป็นการรวมตัวของผู้ที่ออกกำลังกาย อีกทั้งยังจะมีการออกบูธในงานจัดการแข่งขันวิ่งรายการต่างๆ เพื่อเข้าหาลูกค้าโดยตรง โดยตนมองว่ายังมีกลุ่มนักวิ่งอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่รู้จัก เอวาริณทร์ ดังนั้นจึงต้องทำการตลาดเชิงรุกควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นการนำทางลูกค้ามาสู่ที่ร้าน ซึ่งปัจจุบันประชากรนักวิ่งมีอยู่ประมาณ 15 ล้านคน แต่ที่รู้จักร้านเอวาริณทร์ยังมีอยู่แค่เพียง 1-2 ล้านคนเท่านั้น
นอกจากนี้ เอวาริณทร์ยังมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 3-4 สาขาภายในปีนี้ โดยมองทำเลไว้ที่เขตบางนา ซึ่งมีกลุ่มสมาชิกของร้านอยู่อย่างหนาแน่น ส่วนที่เหลือยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อหาความเหมาะสมในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยน่าจะมี 1 สาขาที่ขยายไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัด
“การแข่งขันในตลาดระยะข้างหน้าจะมุ่งไปทางออนไลน์มากขึ้น แต่การมีสาขาก็เพื่อเป็นคลังสินค้าเพื่อตอบสนองการขายออนไลน์ เพราะในอนาคตการทำตลาดจะแข่งกันที่ความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ หากเรามีสาขาในพื้น ที่ที่พร้อมตอบโจทย์ ก็จะเป็นการปิดช่องว่างทางการตลาดได้”
จากกลยุทธ์ในการทำตลาดดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาทในปีนี้ หรือเติบโตขึ้นประมาณ 30-40% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 145 ล้านบาท โดยตลาดทางด้านกีฬาวิ่งนั้น ยังคงสามารถเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการวิ่งไม่ใช่กระแส แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นไลฟ์สไตล์ถาวรของคนที่เปลี่ยนไป ดังนั้น กระแสการออกกำลังกายจึงยั่งยืน อาจจะมีการเปลี่ยน แปลงรูปแบบไปสู่การปั่นจักรยาน หรือเข้าฟิตเนสบ้าง แต่กลุ่มคนเหล่านี้จะอยู่ไปตลอด และมีแต่จะเพิ่มขึ้น แค่เปลี่ยนรูปแบบการออกกำลังกายไปมาเท่านั้น
ขณะที่การจัดการแข่งขันวิ่งภายในประเทศเองก็มีการพัฒนามากขึ้น มีการสร้างความรู้สึกให้ต้องการเข้าร่วมการแข่งขัน และมีการจัดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ช่างภาพภายในงานก็มีส่วนสำคัญรวมถึงการวิ่งของตูน บอดี้สแลม (อาทิวราห์ คงมาลัย) ก็ช่วยปลุกกระแสการวิ่งได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจัยทุกอย่างช่วยผสมผสานขับเคลื่อนกีฬาวิ่งให้มีความสัมพันธ์ (Ecosystem) กันอย่างแข็งแรง
หน้า10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3455 ระหว่างวันที่ 24 - 27 มีนาคม 2562