สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ว่า การส่งออกของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2559 พลิกกลับมาเป็นบวกในรอบ 13 เดือนจากการขยายตัวของการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ รวมทั้งการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่มีแนวโน้มการส่งออกดีขึ้นโดยเฉพาะในด้านปริมาณที่หลายสินค้ากลับมาขยายตัว อย่างไรก็ดียังคงต้องเฝ้าจับตามองสถานการณ์การค้าโลกที่ยังคงผันผวนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง และราคาสินค้าเกษตรที่ยังไม่ฟื้นตัว อย่างไรก็ดีการส่งออกของไทยมีสถานการณ์ที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ มาก อีกทั้งข้อมูลการนำเข้าของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยแสดงว่าไทยยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ในตลาดและสินค้าส่งออกสำคัญไว้ได้ สะท้อนให้เห็นว่าความสามารถทางการแข่งขันของไทยไม่ได้ลดลงตามมูลค่าส่งออก นอกจากนี้รายได้จากการส่งออกของไทยในภาคบริการยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าบริการในประเทศเติบโตตามไปด้วย ได้แก่ โรงแรมร้านอาหาร ขนส่งโทรคมนาคม ค้าปลีกค้าส่ง และตัวกลางทางการเงิน เป็นต้น
มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินบาท การส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีมูลค่า 683,842 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 22.52 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) และระยะ 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 59) มีมูลค่า 1,247,265 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 11.23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้าเดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีมูลค่า 510,323 ล้านบาท หดตัวร้อยละ -7.56 (YoY) และระยะ 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 59) มีมูลค่า 1,071,706 ล้านบาท หดตัวร้อยละ -5.61 (YoY) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เกินดุล 173,519 ล้านบาท และระยะ 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 59) เกินดุล 175,559 ล้านบาท
มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินเหรียญสหรัฐฯ การส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีมูลค่า 18,994 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 10.27 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) และระยะ 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 59) มีมูลค่า 34,705 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 0.67 (YoY) แต่หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และทองคำ มูลค่าส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 2.4 (YoY) ในขณะที่การนำเข้าเดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีมูลค่า 14,008 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ -16.82 (YoY) และระยะ 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 59) มีมูลค่า 29,482 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ -14.54 (YoY) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ยังคงเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันมีมูลค่า 4,986 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และระยะ 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 59) เกินดุล 5,223 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรกลับมาขยายตัวจากปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยภาพรวมเดือนกุมภาพันธ์ 2559 มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 (YoY) จากปริมาณการส่งออกสินค้าสำคัญที่เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ ข้าว ปริมาณส่งออกขยายตัวร้อยละ 14.2 (YoY) ยางพาราขยายตัวร้อยละ 4.9 (YoY) รวมทั้งทูน่ากระป๋อง (+11.0) กุ้งสดแช่แข็งและแปรรูป (+17.1) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป (+20.5) และน้ำตาล (+107.4) ซึ่งถึงแม้ว่าราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แต่มูลค่าการส่งออกสินค้าสำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 นี้ กลับฟื้นตัวเป็นบวก โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าสำคัญ ได้แก่ ข้าว ขยายตัวร้อยละ 0.3 (YoY) เช่นเดียวกับ ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป (+10.0) ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป (+11.8) น้ำตาล (+78.3) ขยายตัวสูง ในขณะที่ ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ทูน่ากระป๋อง กุ้งสดแช่แข็งและแปรรูป ที่มีปริมาณการส่งออกขยายตัว แต่มูลค่าส่งออกกลับหดตัว สะท้อนว่าเป็นการหดตัวจากปัจจัยด้านราคาเป็นสำคัญ
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม กลับมาขยายตัวจากการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ในขณะที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว และราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยภาพรวมเดือนกุมภาพันธ์ 2559 มูลค่าการส่งออกขยายตัวร้อยละ 13.8 (YoY) ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวของมูลค่าส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ที่ขยายตัวสูงถึง 208.5 (YoY) ซึ่งเป็นการขยายตัวของการส่งออกทองคำถึงร้อยละ 1,051 (YoY) จากปัจจัยด้านราคาทองคำที่เริ่มสูงขึ้น และมีการส่งออกเพื่อเก็งกำไร เช่นเดียวกับเมื่อพิจารณา มูลค่าการส่งออก อัญมณีและเครื่องประดับที่ไม่รวมทองคำ ก็ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 18.4 (YoY) จากการส่งออกอัญมณีจำพวก เพชร พลอย และเครื่องประดับแท้ ไปยังตลาดสำคัญ โดยเฉพาะฮ่องกงที่ขยายตัวสูงถึง 35.9 (YoY) เนื่องจากการส่งออกไปขายในงาน Hong Kong International Jewelry Fair ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2559 ที่ผ่านมา
ในขณะที่ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบหรืออุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการใช้วัตถุดิบซึ่งมาจากการกลั่นปิโตรเลียม ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 7.6 ของมูลค่าส่งออก ยังคงหดตัวสูงต่อเนื่องถึงร้อยละ -18.5 จากปีก่อนหน้า ตามภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 29.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกับมูลค่าส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าสำคัญอย่างเครื่องรับโทรทัศน์ฯ หดตัวสูง (-33.2) จากปัจจัยการย้ายฐานการผลิต รถยนต์และส่วนประกอบ (-2.1) หดตัวจากการส่งออกรถปิคอัพ รถแวนและส่วนประกอบ ในขณะที่การส่งออกรถยนต์นั่งยังคงขยายตัวสูงต่อเนื่อง ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ มูลค่าส่งออกของไทยชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก และการชะลอการนำเข้าของประเทศคู่ค้า แต่ทั้งนี้ส่วนใหญ่พบว่าไทยยังมีสถานการณ์ส่งออกที่ดีกว่าภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของโลกในเกือบทุกสินค้า
ตลาดส่งออกสำคัญอย่าง สหรัฐฯ สหภาพยุโรป (15) ญี่ปุ่น และอาเซียนเดิม กลับมาขยายตัวเป็นบวก ขณะที่คู่ค้าสำคัญอย่างตลาด CLMV กลับหดตัว เช่นเดียวกับจีน ที่ยังคงหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก และจากปัจจัยสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันเป็นสำคัญ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 การส่งออกไปยังตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ กลับมาขยายตัวเป็นบวกร้อยละ 0.3 (YoY) สหภาพยุโรป (15) ขยายตัวร้อยละ 4.1 (YoY) และญี่ปุ่นขยายตัวสูงถึงร้อยละ 34.8 (YoY) ในขณะที่ตลาดคู่ค้าสำคัญที่ขยายตัวต่อเนื่องอย่าง CLMV กลับมาหดตัวจากการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งหดตัวถึงร้อยละ -5.8 (YoY) โดยเฉพาะการส่งออกไปยังกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่หดตัวจากการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นอันดับแรก เช่นเดียวกับ การส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างจีน หดตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ -7.6 (YoY) จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ารวมถึงการหดตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการใช้นโยบายลดการพึ่งพาการนำเข้าและเน้นใช้วัตถุดิบในประเทศ ซึ่งกระทบต่อสถานการณ์มูลค่าการส่งออกของประเทศในกลุ่มอาเซียนรวมทั้งไทย
การค้าของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางการค้าชายแดน และผ่านแดน เติบโตต่อเนื่องจากปี 2558 (มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 8.3 ของมูลค่าการค้ารวมของไทย) โดยมูลค่าการค้าชายแดน (มาเลเซีย เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา) เดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีมูลค่า 82,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.96 (YoY) และระยะ 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 59) มีมูลค่า 168,813 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 1.54 (YoY) ทำให้ภาพรวมเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ไทยได้ดุลการค้าชายแดนรวม 4 ประเทศ เป็นมูลค่า 12,382 ล้านบาท และระยะ 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 59) ได้ดุลการค้า 24,966 ล้านบาท ขณะที่การค้าผ่านแดน (สิงคโปร์ จีนตอนใต้ เวียดนาม) เดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีมูลค่า 8,829 ล้านบาท หดตัวร้อยละ -6.06 (YoY) และระยะ 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 59) มีมูลค่า 24,102 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.10 (YoY) ทำให้ภาพรวมเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ไทยขาดดุลการค้าผ่านแดนรวม 3 ประเทศ เป็นมูลค่า 988 ล้านบาท และระยะ 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 59) ขาดดุลการค้า 1,856 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมการค้าชายแดน และผ่านแดน เดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 91,448 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.67 (YoY) และระยะ 2 เดือน (ม.ค. – ก.พ. 59) มีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 192,914 ล้านบาท ขยายตัว 3.61 (YoY)
การส่งออกบริการของไทยขยายตัวสูง ภาพรวมปี 2558 สร้างรายได้เข้าประเทศมูลค่ากว่า 60,682 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 9.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (YoY) โดยบริการที่สร้างรายได้ให้กับประเทศได้มากที่สุด ได้แก่ สาขาการท่องเที่ยว มีมูลค่าการส่งออก 44,553 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.0 (YoY) ตามการขยายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยซึ่งมีจำนวนถึง 29.9 ล้านคน ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20.4 (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจและภาคบริการในประเทศที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวได้แก่ โรงแรมร้านอาหาร ขนส่งโทรคมนาคม ค้าปลีกค้าส่ง และบริการทางการเงิน เป็นต้น ส่วนการส่งออกภาคบริการอันดับรองลงมาเป็นสาขาขนส่ง รับเหมาก่อสร้าง บริการโทรคมนาคม รวมถึงรายรับจากบริการทางการเงินเติบโตได้ดีที่ร้อยละ 13.9 (YoY) ในขณะที่การนำเข้าบริการปี 2558 ไทยมีรายจ่ายภาคบริการ 50,787 ล้านเหรียญ หดตัวร้อยละ -4.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (YoY) โดยบริการสาขาที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงที่สุด ได้แก่ สาขาขนส่ง มีมูลค่าการนำเข้า 23,821 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -10.8 (YoY) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 46.9 ของมูลค่าการนำเข้าภาคบริการทั้งหมด รองลงมาเป็นการนำเข้าสาขาท่องเที่ยว และสาขาบริการทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 7.4 และ 3.3 (YoY) ตามลำดับ อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมประเทศไทยยังคงได้ดุลจากการค้าภาคบริการกว่า 9,895 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในภาวะที่การค้าไทยเผชิญกับความท้าทาย ภายใต้สถานการณ์การค้าโลกในปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งดำเนินการ เพื่อการขับเคลื่อนการส่งออกของไทย ปี 2559 นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยการกระทรวงพาณิชย์ ยังคงยึดแนวทางการขับเคลื่อนการส่งออกที่สำคัญ 5 ด้าน ดังนี้ 1. ขยายการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะตลาดอินโดจีนหรือ CLMV โดยกระทรวงพาณิชย์
จะใช้โอกาสทางการค้า และความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทยซึ่งมีที่ตั้งเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งความเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก 2.เร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก โดยใช้ความต้องการตลาดเป็นตัวนำการผลิต (Demand Driven) หรือกำหนดสินค้า/บริการที่จะผลักดันการส่งออก และมีการกำหนดกลยุทธ์เชิงลึกในระดับเมือง (City focus) มุ่งเน้นการเจาะตลาดใหม่ๆ การเจาะกลุ่มตลาดเฉพาะ (Niche Market) และช่องทางการค้าออนไลน์ โดยเฉพาะตลาดอาเซียน ที่จะมุ่งเจาะตลาดเข้าสู่เมืองเศรษฐกิจรองที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเพิ่มความสำคัญของตลาดในเมืองหลวง/เมืองเศรษฐกิจหลัก โดยเน้นสินค้า/บริการแบรนด์ที่มีศักยภาพ
3.ส่งเสริมการค้าบริการ (Trade in Services) โดยสนับสนุนภาคธุรกิจบริการให้เป็นแรงผลักดันการส่งออกควบคู่ไปกับการส่งออกสินค้า ตามยุทธศาสตร์ที่ได้กำหนดไว้ กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนด 6 กลุ่มธุรกิจบริการเป้าหมาย ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ (Wellness and Medical Services) ธุรกิจอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Economy Industry) ธุรกิจโลจิสติกส์และการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Logistics and Facilitation) ธุรกิจการให้บริการของสถาบัน (Institutional Services and Related) ธุรกิจบริการสนับสนุนการค้า (Trade Supporting Services) และธุรกิจดิจิตอล (Digital Business) 4.ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าการลงทุน และสร้างความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ โดยผ่านกลไกภาครัฐร่วมกับภาคเอกชน รวมทั้งการศึกษาข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจและศักยภาพทางเศรษฐกิจเป็นรายเมือง รวมถึงขั้นตอน กฎระเบียบการลงทุน และมาตรการทางภาษี สร้างเครือข่ายกับหน่วยงาน/นักธุรกิจ ในท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่ต้องการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ
5.ผลักดันและแก้ปัญหาทางการค้าร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมีกลไกขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (พกค.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการค้าทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นกรรมการ โดย พกค. จะมีบทบาทด้านการกำหนดนโยบาย และมาตรการเกี่ยวกับการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าของประเทศ