เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ธุรกิจโรงแรมของสิงห์เอสเตท โกยเงิน 182 ล้านบาท จากการขายโรงแรม Mercure Newbury Elcot Park ในสหราชอาณาจักร หรือ UK ทั้งดีลขายอีกเพิ่มเติมอีกไม่เกิน 5 แห่ง นำเงินมาลงทุนพัฒนา-ปรับปรุงโรงแรมชั้นนำของบริษัท
SHR เดินแผนเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอ รุกแผนการลงทุนในตลาดสหราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าเพิ่มเงินลงทุนสำหรับปรับปรุงโรงแรมชั้นนำในประเทศหลังลงทุนกว่า 560 ล้านบาท ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (SHR) บริษัทเรือธงในการประกอบธุรกิจโรงแรมของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (S) ได้ดำเนินการตามแผนในการขายโรงแรมบางส่วนในสหราชอาณาจักร ซึ่งบริษัทฯ พิจารณาว่าเป็นโรงแรมที่มีศักยภาพในการทำกำไรจำกัด การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตการลงทุนและเพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดให้กับบริษัทฯ
SHR ได้ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงการขายโรงแรม Mercure Newbury Elcot Park ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นโรงแรมขนาด 73 ห้อง คิดเป็นมูลค่ารวม 4.25 ล้านปอนด์ (หรือเทียบเท่า 182 ล้านบาท) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพิจารณาที่จะขายโรงแรมในสหราชอาณาจักรซึ่งไม่ใช่สินทรัพย์หลักของบริษัทฯ เพิ่มเติมอีกสูงสุดไม่เกิน 5 แห่ง โดยเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์ดังกล่าว จะนำไปลงทุนพัฒนาปรับปรุงโรงแรมชั้นนำของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และต่อยอดประสิทธิภาพในการทำกำไรของพอร์ตโฟลิโอ
นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ (Dirk De Cuyper) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เปิดเผยว่า แผนการขายโรงแรมดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ดังนี้
ประการแรก การปรับปรุงสินทรัพย์ โดยพิจารณาลงทุนในการปรับปรุงพัฒนาทรัพย์สินหลักของบริษัทฯ ซึ่งเป็นโรงแรมที่สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่ม EBITDA และศักยภาพในการทำกำไร รวมถึงเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันของโรงแรมเหล่านั้น
ประการที่ 2 การจำหน่ายสินทรัพย์ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะจำหน่ายทรัพย์สินบางส่วนที่มีความสามารถในการทำกำไรจำกัด แต่สามารถขายได้ในราคาที่เหมาะสมของภาวะตลาดในปัจจุบัน โดยบริษัทฯ พิจารณาขายโรงแรม 4 - 6 แห่งที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ซื้อที่มีศักยภาพ และคาดว่าธุรกรรมทั้งหมดจะแล้วเสร็จในปี 2564 - 2565
ประการสุดท้าย การเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์ โดยจะมุ่งเน้นโรงแรมที่เหลือซึ่งมีสัดส่วน 60% ของจำนวนโรงแรมทั้งหมดในพอร์ตการลงทุนนี้ ซึ่งบริษัทฯ จะแสวงหาโอกาสและศึกษาช่องทางอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์กลุ่มนี้ และยกระดับให้กลายมาเป็นสินทรัพย์หลักของบริษัทฯ ยกตัวอย่างเช่น การแปลงทรัพย์สินที่เป็นสิทธิการเช่า (leasehold) มาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ (freehold) เป็นต้น
“ในเชิงกลยุทธ์เราเชื่อว่าจำนวนโรงแรมที่เหมาะสมที่สุดของพอร์ตโฟลิโอนี้ควรอยู่ที่ประมาณ 20 - 21 โรงแรม โดยเป้าหมายในระยะกลางถึงยาว บริษัทฯ คาดว่าพอร์ตโฟลิโอนี้จะสามารถสร้าง EBITDA ได้ไม่ต่ำกว่าระดับสูงสุดที่เคยทำได้ในอดีตที่ 18 ล้านปอนด์ หรือเทียบเท่า 720 ล้านบาท และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทิศทางเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน และสร้างมูลค่าให้กับบริษัทฯ และนักลงทุน” นาย เดิร์ก กล่าว
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ทุ่มงบกว่า 560 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นเพิ่มอีก 50% ในกิจการโรงแรม 26 แห่งจาก 29 แห่งในสหราชอาณาจักร ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้นทั้งหมด 100% ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นความมุ่งมั่นที่สำคัญต่อการขยายการลงทุนในสหราชอาณาจักร เพื่อรองรับโอกาสในการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของภาคการท่องเที่ยวและบริการ ภายหลังความสำเร็จในการกระจายวัคซีนในประเทศ ซึ่งจะผลักดันความต้องการเดินทางท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศในปี 2564 และตามด้วยการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างภูมิภาคจากปี 2565
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ได้ที่ www.shotelsresorts.com และข้อมูลต่าง ๆ ของ สิงห์ เอสเตท ได้ทาง www.singhaestate.co.th
ข่าวเกี่ยวข้อง: