“ทรู วิชั่นส์” ลุ้นคว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ เร่งเจรจาบีอิน สปอร์ต หลัง “พีพีทีวี” ควักพันล้านยิงสด 26 แมตช์ 3 ฤดูกาลรวด ตั้งแต่ปี 2016-2019 พร้อมขยายช่องทางออนไลน์ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ชม มั่นใจกระชากเรตติ้งติด Top 5
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าสายงานการพาณิชย์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ทรู กำลังเจรจากับบีอิน สปอร์ต เพื่อขอซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง โดยต้องใช้เวลาสักระยะเนื่องจากสิทธิ์การซื้อของทรู วิชั่นส์เป็นรูปแบบเพย์ทีวี และจำนวนคู่แมตช์มากกว่า อย่างไรก็ตามเชื่อว่าทรูวิชั่นส์จะไม่พลาดสิทธิ์ครั้งนี้เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการเพย์ทีวีในตลาดด้วยกัน
“บริษัทวางเป้าหมายเป็นผู้นำการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้คว้าลิขสิทธิ์ไทยพรีเมียร์ลีกต่ออีก 4 ปี คือปี 2556-2559 รวมทั้งช้าง เอฟเอคัพ และโตโยต้า ลีกคัพ ซึ่งเชื่อว่าจากคอนเทนต์ทั้งหมดของทรูวิชั่นส์ จะส่งผลให้สามารถขยายฐานผู้ชมเพิ่ม 10% จากปีก่อนที่มีฐานสมาชิกทั้งหมดอยู่ที่ 3.1 ล้านสมาชิก”
ด้านนายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี กล่าวว่า บริษัทใช้งบประมาณกว่า 1 พันล้านบาท สำหรับการซื้อลิขสิทธิ์เพื่อถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ 3 ฤดูกาลใหม่ ตั้งแต่ฤดูกาลปี 2016-2017 ,2017-2018 และ 2018- 2019 โดยจะถ่ายทอดสดให้ชมฟรี จำนวน 26 แมตช์ ต่อฤดูกาล ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทที่มีเป้าหมายตอกย้ำการเป็นสถานีโทรทัศน์ช่องพรีเมียมทีวี โดยที่ผ่านมาบริษัทพยายามเน้นคอนเทนต์ทุกด้าน อาทิ ข่าว ละคร และกีฬา เป็นต้น ซึ่งมองว่าคอนเทนต์ละครและข่าวสามารถรับชมย้อนหลังได้ แต่คอนเทนต์รูปแบบกีฬาต้องรับชมสด อีกทั้งคอนเทนต์กีฬายังสามารถสร้างเรตติ้งและขยายฐานกลุ่มผู้ชมได้จำนวนมากและรวดเร็ว
ทั้งนี้จากเดิมบริษัทซื้อคอนเทนต์พรีเมียร์ลีกในรูปแบบ Sublicense และเป็นการซื้อลิขสิทธิ์แบบปีต่อปี โดยมีค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกราว 300-400 ล้านบาทต่อปี แต่ในการซื้อลิขสิทธิ์ครั้งนี้บริษัทได้สิทธิ์นาน 3 ฤดูกาล ทำให้ราคาที่ซื้อสูงกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับราคาเดิม เนื่องจากสิทธิ์ครั้งนี้ครอบคลุมรวมถึงสื่อออนไลน์ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าการที่มีคอนเทนต์กีฬาที่ได้รับความนิยม อาทิ ศึกราชดำเนินซูเปอร์ไฟลต์ ฟุตบอลบุนเดสลีกา และพรีเมียร์ลีก ครั้งนี้จะให้ทำให้ช่องพีพีทีวีสามารถขยายฐานกลุ่มผู้ชมได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้วัดผลจากการออกอากาศฟุตบอลบุนเดสลีกาทุกช่องทางแต่ละครั้งมีฐานผู้ชมเฉลี่ยต่อครั้งราว 4.5 -5 แสนคนต่อแมตช์
“พีพีทีวีมีความมุ่งมั่นที่จะนำกีฬาระดับโลกมาให้แฟนๆชาวไทยได้ชม ซึ่งในฤดูกาลใหม่ที่จะถึงนี้แม้แต่คนอังกฤษเองยังหาดูยาก โดยผู้ชมต่างประเทศส่วนใหญ่ต้องเข้าไปดูที่สนาม หรือเสียรายเดือนจำนวนมาก แต่ที่เมืองไทยสามารถดูฟรีผ่านช่องพีพีทีวี ทั้งนี้บริษัทเชื่อว่าฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นลีกฟุตบอลที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับผู้ชมชาวไทย ขณะเดียวกันพีพีทีวีจะถ่ายทอดสดให้ชมฟรี ถึง 26 แมตช์ ต่อฤดูกาล”
นอกจากนี้พีพีทีวีได้วางเป้าหมายให้ปี 2559 เป็นปี Partnership & Engagement สำหรับคอนเทนต์ทุกประเภท และวางการถ่ายทอดสดกีฬาอีก 2-4 รายการ โดยล่าสุดร่วมกับสโมสร บาเยิร์น มิวนิก (Bayern Munich) บริษัท เฟรชแอร์ จำกัด และ GDH ในการผลิตรายการเรียลลิตีด้านกีฬาครั้งแรกของไทย เฟ้นหา เยาวชนอายุ 14-16 ปี จำนวน 10-12 คน เป็นทีมไปแข่งขันกับทีมเยาวชนจากทั่วโลก ที่สนาม อลิอันซ์ อารีน่า (Alliance Arena) ของสโมสรบาเยิร์น มิวนิก ประเทศเยอรมนี รวมถึงการแข่งขันมวยสากลของสหพันธ์มวยนานาชาติ หรือ ไอบ้า (AIBA) ซึ่งเป็นการคัดเลือกนักมวยเพื่อคว้าโควตาไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2559 ที่ประเทศบราซิลเพิ่มเติม
สำหรับเป้าหมายเดิมบริษัทตั้งเป้าเรตติ้งติดอันดับ 1 ใน 5 แต่พอพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันที่มีปัจจัยเปลี่ยนไป เช่น พฤติกรรมผู้ชม และการกำกับดูแลของ กสทช. บริษัทจึงได้รูปแบบการดำเนินธุรกิจและให้ความสำคัญกับเรื่องของ brand value มากขึ้น เพราะจากการทดสอบการนำคอนเทนต์สู่ Line แอพพลิเคชันที่ผ่านมา พบว่าคนรู้จักชื่อของพีพีทีวีได้กว้างและเร็วกว่าระบบเรตติ้ง ดังนั้นบริษัทเชื่อว่าการให้ความสำคัญกับ brand value จะสามารถทำให้เราเติบโตได้เร็ว และเป็นมูลค่าเชิงธุรกิจต่อไปในอนาคต
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,152 วันที่ 28 - 30 เมษายน พ.ศ. 2559