“ณุศาศิริ” หนึ่งในบิ๊กอสังหาริมทรัพย์ของไทย หลังประสบกับภาวะขาดทุนต่อเนื่องติดต่อกันหลายปี ในขณะที่การแพร่ระบาดของ COVID-19 มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ และยังส่งผลต่อธุรกิจธุรกิจสวนสนุกเชิงวัฒนธรรมและโรงแรมทำให้ต้องปิดกิจการชั่วคราว ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะการเงิน
โดยปีที่ผ่านมา ณุศาศิริ ทำรายได้เพียง 709 ล้านบาท ขาดทุน 928 ล้านบาท และไตรมาสแรกปี 2564 ทำรายได้ 218 ล้านบาท ทั้งนี้กลุ่มบริษัท ณุศาศิริ มีหนี้สินหมุนเวียนรวมสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนรวมจำนวน 1,975 ล้านบาท และมีขาดทุนสะสมรวมจำนวน 2,958 ล้านบาท
การก้าวสู่ปี 25 ของณุศาศิริ ถือเป็นการทรานฟอร์มเมชั่นครั้ง ใหญ่ กับการก้าวสู่ธุรกิจ Medical and Wellness เพื่อหวังสร้างแหล่งรายได้ใหม่ นำพากลุ่มบริษัทก้าวไปสู่ความเป็นสากล ทั้งในด้านอสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว และด้านสุขภาพ ฯลฯ
นางศิริญา เทพเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำทางด้านอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ณุศาศิริ เริ่มสนใจตลาดสุขภาพและการแพทย์เมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา โดยภาพรวมบริษัทแบ่งงานของด้านสุขภาพออกเป็น 4 ส่วน
คือ โรงพยาบาล, แฟรนไชส์, แพลต ฟอร์ม และผลิตภัณฑ์ คาดว่าปีนี้จะสามารถทำรายได้ 600-800 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่จะเริ่มดำเนินการในช่วงไตรมาส 4 และจะเห็นเม็ดเงินเต็มที่ในปี 2565
เส้นทางสุขภาพและการแพทย์ของ ณุศาศิริ เริ่มขึ้นเมื่อบริษัทเข้าซื้อแฟรนส์ไชส์โรงพยาบาลจากเยอรมนี เพื่อรุกทำตลาดสุขภาพในประเทศจีน ซึ่งเปิดให้บริการก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 สร้างรายได้และผลกำไรมากกว่า 4 ล้านหยวน ในระยะเวลาเพียง 5 เดือน
และต่อยอดเป็นแพลตฟอร์มช่วยแปลภาษาต่างชาติเป็นภาษาจีนและช่วยเรดคอร์ดข้อมูลให้กับลูกค้าที่เข้ารักษาตัวสามารถสื่อสารกับแพทย์ต่างชาติได้ เมื่อธุรกิจโรงพยาบาลในจีนเริ่มอยู่ตัว ณุศาศิริขยายธุรกิจด้วยการเข้าซื้อแบรนด์โรงพยาบาลพานาซีในเยอรมนีและประเทศไทย ซึ่งดำเนินการเข้าซื้อเป็นที่เรียบร้อยและคาดว่าจะสามารถรวมเข้ากลุ่มธุรกิจได้ในช่วงไตรมาส 4 นี้ โดยใช้งบรวมกันกว่า 2,000 ล้านบาท
“ณุศาศิริ มุ่งมั่นที่จะเดินทางมาด้านเมดิคอลเต็มรูปแบบ เพราะมองว่า ธุรกิจด้านนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เราโฟกัสด้านความแตกต่างของโรงพยาบาลที่เน้นด้านอินโนเวทีฟ สเต็มเซลล์ ไม่ใช้เคมี การฟื้นฟูคนให้อายุยืน รักษาโรคเรื้อรัง ตอนที่เราดึงแฟรนไชส์ไปทำที่ประเทศจีน เราเลือกแบรนด์ของเยอรมนี ที่มีความมุ่งมั่นในเรื่องการไม่ใช้เคมี แต่เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ นวัตกรรมของเขาแอดวานซ์กว่า
เราถือว่า เป็นโรงพยาบาลต่างชาติรายแรกและรายเดียวที่ได้รับใบอนุญาตทำโรงพยาบาลสเต็มเซลล์ในจีน ซึ่งหลังโควิดเราตั้งใจจะขยายแฟรนไซส์ทุกมณฑลของจีน ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการเซ็ตทีมและทำระบบบริหารโรงพยาบาล โดยจับมือกับคู่ค้าในแต่ละมณฑล”
นอกจากนี้ ณุศาศิริ ยังมุ่งไปทางด้านการรักษาผู้ป่วยด้วยสารแคนาบินอยด์ โดยจับมือกับ บริษัท CSR จากประเทศจีน ทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท ปั้น Medical Technology ลุยธุรกิจ “กัญชา กัญชง” ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำทั้งการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทุกหมวด ทั้งสกินแคร์ เครื่องดื่ม และอาหารเสริม ฯลฯที่มีสารสกัดจากกัญชาและกัญชงผ่านทุกช่องทาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยปรับพื้นที่ “Legend Siam Pattaya” เป็นแหล่งปลูกกัญชา กัญชงในเชิงงานศึกษาวิจัย เป็นศูนย์การเรียนรู้กัญชา กัญชง ของโลก และเปลี่ยน Movenpick My Ozone khaoyai ให้เป็นเมืองกัญชาเพื่อสร้างแพลทฟอร์มด้านสุขภาพที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้เดินทางมารักษาและฟื้นฟูสุขภาพแบบระยะยาว
ซึ่งประกอบไปด้วยที่พักอาศัย เชิงท่องเที่ยว และ ศูนย์ดูแลฟื้นฟู-สุขภาพ ในรูปแบบ Wellness Center โรงพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุ สนามกอล์ฟ และอยู่ระหว่างการพัฒนาศูนย์ฝึกอบรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ขณะเดียวกัน ณุศาศิริ ยังสร้างแพลทฟอร์มออนไลน์ใหม่ที่จะเป็นศูนย์กลางในเรื่องสุขภาพ ในนาม “ณุศาเทค” โดยใช้ AI วิจัยและเก็บข้อมูลด้านสุขภาพของคนไทย อาทิ “MORHELLO” ที่ดึงกลุ่มแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ ที่มีความสนใจในการรักษาโดยใช้สารแคนาบินอยด์
มาสร้างคอมมูนิตี้ แชร์ริ่ง เทรนนิ่ง แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อต่อยอดให้การแพทย์ไทย โดยมีกำหนดเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้พร้อมกับการเปิดประเทศ แต่ด้วยสถานะการณ์โควิด ณุศาศิริ ตัดสินใจเปิดแพลตฟอร์มนี้เร็วขึ้นเพื่อช่วยจัดการกับวิกฤติครั้งนี้
“เทคโนโลยีจะเข้าไปช่วยคนที่สงสัยว่าตัวเองกำลังจะติดหรือไม่ติด หรือถ้าเขายังอยู่ในสถานะสีเขียวเราไม่อยากให้ไปสู่สีเหลืองหรือสีแดงต่อไป เราอยากให้ MORHELLO เป็นตัวช่วยในการให้คำปรึกษาจากคุณหมอโดยตรงสั่งชุดตรวจด้วยตัวเองที่บ้าน ถ้าตรวจเจอต้องไปไหนต่อ ต้องเข้าสู่การตรวจ RT-PCR
เราก็จะประสานต่อกับ รพ.พานาซี ซึ่งในแพลต ฟอร์มของเรา จะมีการคอนเซาท์คุณหมอให้ เพื่อจ่ายยาวิตามินโดสสูงต่างๆ ที่จะสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายมากขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยไม่ไปต่อ เข้าสู่สีเหลืองและแดง นั่นเป็นจุดประสงค์หลักของเรา”
นางศิริญา กล่าวอีกว่า ณุศาศิริ ยังเปิดตัวบริษัท JP WORLD MEDICAL เพื่อรองรับธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางด้านดูแลสุขภาพและการแพทย์ โดยนำเข้าชุดตรวจโควิด ATK ชนิดตรวจหาเชื้อจากน้ำลาย “VIRASPEC” SARS-CoV-2 Antigen Rapid Test Cassette (Saliva) จากบริษัท Thyrolytics AB ประเทศสวีเดนจัดจำหน่ายในประเทศผ่านแพลตฟอร์ม MORHELLO
และโรงพยาบาลพานาซี และได้สิทธิ์จัดจำหน่าย 16 ประเทศในแถบอาเซียน อาทิ ไทย เวียดนาม พม่า ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน ออสเตรเลีย เป็นต้น
ในขณะที่ บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในเครือ ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่าย ATK ของบริษัท ออสท์แลนด์ แคปปิตอล จำกัดและเป็นผู้นำ ATK เข้าประมูล ในโครงการพิเศษของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จำนวน 8.5 ล้านชุด แม้ว่าจะมีการชะลอการเซ็นสัญญาออกไป
ซึ่งผู้บริหารมองว่าหากมีการยกเลิกการประมูล อาจส่งผลกระทบทางด้านต้นทุนกับบริษัทที่อาจสูงขึ้น เพราะเดิมบริษัทมีแผนนำเข้ามาจำหน่ายบนแพลตฟอร์มของตัวเอง และในภาคการท่องเที่ยวในโครงการ กรีนบ็อกซ์ ที่มายโอโซน ซึ่งมีเงื่อนไขว่า ผู้เข้าพักทุกคนต้องทำการทดสอบและตรวจเชื้อโควิดก่อน
นอกจากนี้ บริษัทยังพัฒนาวิตามินโดสสูงป้องกันโควิด ซึ่งเป็น R&D ของอเมริกา รวมทั้งวิตามิน ช่วยคลายเครียดซึ่งมีแผนจะนำไปใช้ในบุคลากรด่านหน้าใช้ลดความเครียดในการรับมือผู้ป่วยโควิดอีกด้วย
แผนการรุกธุรกิจ Medical and Wellness ที่ครอบคลุมและครบวงจรนี้ เชื่อว่าจะเป็นน่านน้ำใหม่ที่ทำให้ “ณุศาศิริ” กลับมาพลิกรายได้เป็นบวก และเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคตอันใกล้
หน้า 14-15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,706 วันที่ 19 - 21 สิงหาคม พ.ศ. 2564