นางอุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารสยามพารากอน, สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่, ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยมเอาท์เล็ต เปิดเผยว่า สยามพิวรรธน์พร้อมเดินหน้ารุกตลาดรีเทลในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ด้วยศักยภาพและความพร้อม โดยเริ่มศึกษาและเจรจากับพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเข้าไปลงทุนให้ได้ 11 ประเทศภายในระยะเวลา 3 ปี
“วันนี้แพลตฟอร์มของธุรกิจรีเทลเปลี่ยนแปลงไปมาก การที่จะรอให้ลูกค้าเดินมาหาเรา อาจจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้นจึงต้องปรับยุทธศาสตร์ ปรับกลยุทธ์ในเชิงรุก ด้วยการเดินหน้าเข้าหาลูกค้า การเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ”
ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีฐานข้อมูลลูกค้าชาวต่างชาติจำนวนมาก รู้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมาย แต่ละกลุ่มต้องการอะไร เลือกซื้ออะไร ใช้เงินเท่าไร ชอบ-ไม่ชอบอะไร ล้วนเป็นข้อมูลทำให้สามารถคัดสรรและเลือกสิ่งที่ตรงใจลูกค้าได้
ทั้งนี้บริษัทเริ่มศึกษาแผนการลงทุนในต่างประเทศมาต่อเนื่อง ก่อนที่จะเริ่มเต็มตัวในช่วงปีก่อน และล่าสุดได้เปิดตัวพันธมิตรรายแรกคือ พาวิลเลียนกรุ๊ป (Pavilion Group) เจ้าของและผู้บริหารห้างระดับไฮเอนท์ และอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นเจ้าของศูนย์การค้าพาวิลเลียน บูกิต จาลิล (Pavilion Bukit Jalil) ไลฟ์สไตล์มอลล์ที่ใหญ่ที่สุดทางใต้ของกรุงกัวลาลัมเปอร์
ในการเข้าไปเปิดโซนดิสคัฟเวอรี่ สยาม บนพื้นที่กว่า 1,200 ตร.ม. โดยภายในโซนนี้จะประกอบไปด้วย 3 แบรนด์ ได้แก่ ร้าน ICONCRAFTร้าน Absolute Siam และร้าน Ecotopia ซึ่งทั้ง 3 แบรนด์เป็นคอนเซ็ปท์ สโตร์ที่มีโพสิชั่นนิ่งแตกต่างกัน แต่ทุกร้านจะมีอัตลักษณ์ความเป็นไทย ที่นำเสนอสินค้าไทย จากช่างฝีมือคนไทยในหมวดสินค้าต่างๆ และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย
ลูกค้าชาวมาเลเซียถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อสูง เป็นลูกค้าหลัก มีจำนวนมากติดอันดับ 1 ใน 5 ลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าทั้ง 3 แห่งคือสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี ร่วมกับลูกค้าชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลีและยุโรป ขณะที่การใช้จ่ายของลูกค้าคนไทยเฉลี่ยกว่า 2,000 บาทต่อคนต่อครั้ง ขณะที่ลูกค้าชาวต่างชาติเฉลี่ย 3,500 บาทต่อคนต่อครั้ง สูงกว่าคนไทย 30-40%
โดยเบื้องต้นทั้ง 3 แบรนด์ที่เปิดให้บริการในมาเลเซีย จะวางจำหน่ายกว่า 1,000 รายการ จากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 300 ราย ถือเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้ก้าวสู่ตลาดโลกด้วย สำหรับการลงทุนในมาเลเซีย บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาให้ได้ 3 แห่งภายในระยะเวลา 2 ปี รวมทั้งนำเสนอสินค้าที่มีความเป็นไทย อาทิ สุขสยาม ฯลฯ เพิ่มเติมต่อเนื่องในแพลตฟอร์มต่างๆ ด้วย
“หนึ่งในนโยบายหลักของสยามพิวรรธน์ คือต้องการผลักดันแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักและสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศ ผลักดันให้ Local Hero เติบโตไปสู่การเป็น Global Hero ต่อยอดสู่การค้าขายในเวทีโลก”
ทั้งนี้พาวิลเลียน กรุ๊ป เป็นหนึ่งพันธมิตรทางธุรกิจที่ได้ร่วมเป็น Global Privilege Partners ของสยามพิวรรธน์ซึ่งมีอยู่ทั่วโลก ที่ผ่านมาได้มอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้าของศูนย์การค้าต่างๆ ที่อยู่ในความร่วมมือมาโดยตลอด นอกจากนี้สยามพิวรรธน์ยังมีพันธมิตรมากมายในหลายประเทศ ซึ่งล้วนมีศักยภาพและสามารถต่อยอดในการจับมือร่วมกันในการขยายการลงทุน
โดยขณะนี้เริ่มศึกษาและเจรจาแล้วในหลายประเทศ อาทิ จีน ยุโรป สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ ขณะที่บางประเทศพร้อมที่จะให้เข้าไปลงทุนเร็วที่สุด โดยเบื้องต้นวางแผนงานที่จะเข้าไปลงทุนใน 11 ประเทศในระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้
นางอุสรา กล่าวอีกว่า รีเทลวันนี้เปิดกว้าง มีหลากหลายแพลตฟอร์มที่ให้เข้าไปทำได้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความพร้อม ซึ่งวันนี้เองสยามพิวรรธน์ก็เข้าร่วมในหลายแพลตฟอร์ม ทั้งแพลตฟอร์มที่มีอยู่ในประเทศนั้นๆ เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ที่บริษัทได้เข้าไปร่วม พร้อมนำสินค้าไปวางจำหน่ายแล้ว รวมทั้งแพลตฟอร์มที่บริษัทร่วมกับพาร์ทเนอร์พัฒนาขึ้นเอง
อย่างไรก็ดี แม้วันนี้กลุ่มธุรกิจค้าปลีกจะสร้างรายได้ในสัดส่วนราว 20% ของผลประกอบการรวมทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นหนึ่งใน Strategic Unit ของสยามพิวรรธน์ การประกาศขยายธุรกิจในต่างประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญที่เขย่าวงการรีเทลโลกไม่น้อย