เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น หรือ “ASIAN” ปิดรายได้ปี64 นิวไฮยอดขายรวมอยู่ที่ 9,488 ลบ. กำไร 1,044 ลบ. โตเฉียด 28% สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท จากการที่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตแข็งแกร่ง และรายได้เพิ่มขึ้นจากอาหารทะเลแช่เยือกแข็ง ด้านบอร์ดประกาศจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปีหลังอีกอัตราหุ้นละ 0.40 บาท
นายเอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN ประกอบธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็ง อาหารสัตว์น้ำ ทูน่า และผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า เปิดเผยว่า ปี 2565 ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายและบริการเติบโต 12% จากปีก่อน รับเทรนด์ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงบูมต่อเนื่อง
ประเทศไทยเป็นฐานกำลังการผลิตสำคัญ และ ASIAN ได้รับความเชื่อมั่นจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก โดยบริษัทคาดการณ์ว่า ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงของ ASIAN จะเติบโตได้ราว 15% ขณะที่ความต้องการอาหารสัตว์น้ำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาขายสัตว์น้ำหน้าฟาร์มและการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้น
โดยคาดการณ์ว่ายอดขายกลุ่มอาหารสัตว์น้ำจะเติบโตราว 27% ในส่วนของธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็ง และทูน่า แม้ได้รับแรงกดดันจากค่าขนส่งทางทะเลที่อยู่ในระดับสูง และราคาวัตถุดิบที่มีแนวโน้มสูงกว่าปี 2564 แต่บริษัทฯ จะมุ้งเน้นบริหารจัดการภายในอย่างรัดกุม ผลักดันกลุ่มธุรกิจที่เป็นไฮมาร์จิ้นและมีโอกาสเติบโต
สำหรับแผนการลงทุนในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะใช้งบประมาณ 660 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 520 ล้านบาท เพื่อรองรับคำสั่งซื้อได้มากขึ้น โดยกำลังการผลิตสูงสุดจะเพิ่มเป็น 42,000 ตัน ในไตรมาส 2/2565 พร้อมปรับปรุงกระบวนการผลิตและโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็ง 85 ล้านบาท และปรับปรุงกระบวนการผลิตอื่นๆ 55 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต
อีกทั้งการผลักดันบริษัทย่อย คือ บริษัท เอเชี่ยนอะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (AAI) ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตทูน่าและอาหารสัตว์เลี้ยงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (IPO) ในปีนี้ จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้ธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ
ด้านผลประกอบการของบริษัทในงวดปี 2564 มีกำไรสุทธิ 1,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 226 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนมีกำไรสุทธิ 818 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 9,488 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% เทียบกับปีก่อนหน้าที่มีรายได้จากการขายและบริการ 8,645 ล้านบาท โดยกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงมีสัดส่วนสูงที่สุด รองลงมาคือกลุ่มอาหารแช่เยือกแข็ง ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีผลงานอย่างโดดเด่นในปีที่ผ่านมา
ด้านกำไรขั้นต้นปี 2564 อยู่ที่ 1,883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,393 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 19.8% ซึ่งทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริมดำเนินกิจการ เทียบกับปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 16.1% เนื่องจากยอดขายกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงสูง และมีอัตรากำไรที่แข็งแกร่งขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น
สำหรับไตรมาส 4/2564 มีกำไรสุทธิ 265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 ที่มีกำไรสุทธิ 211 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายและบริการ 2,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 7.9% โดยยอดขายกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงในไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 1,105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน โตโดดเด่นสุดในกลุ่ม และธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งเติบโตรองมา โดยยอดขายอยู่ที่ 957 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16%
ขณะที่สัดส่วนรายได้จากการขายรวมในปี 2564 แบ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงราว 43% อยู่ที่ 4,206 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า 22% รองลงมาคือกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่เยือกแข็งสัดส่วนอยู่ที่ 35% รายได้อยู่ที่ 3,498 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำอยู่ที่ 1,271 ล้านบาท ลดลง 7% กลุ่มผลิตภัณฑ์ทูน่าอยู่ที่ 849 ล้านบาท ลดลง 22 % ยอดขายทูน่าที่ลดลง เนื่องจากปัญหาค่าขนส่งทางเรือสูงและขาดแคลนแรงงาน ทำให้ต้องจัดสรรแรงงานที่มีอยู่อย่างจำกัดไปในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแทน
“ผลประกอบการปี 64 ออกมาเป็นที่น่าภูมิใจ เราสามารถได้ประโยชน์จากการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์อัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยบวก มาจากการที่ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นต่อนื่องในปีนี้ เนื่องจากจำนวนสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นทั่วโลก การเลี้ยงสัตว์แบบเป็นสมาชิกในครอบครัว ทำให้เจ้าของเต็มใจที่จะซื้ออาหารระดับพรีเมี่ยมมากขึ้น ในขณะที่กลุ่มบริษัทสามารถรับมือกับความท้าทายในด้านอื่น ๆ ได้น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอดจนสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ” นายเอกกมล กล่าว
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิผลการดำเนินงานในรอบปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.65 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 529.16 ล้านบาท ซึ่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 ได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.25 บาทต่อหุ้น และคงเหลือการจ่ายปันผลส่วนที่เหลืออีก 0.40 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 3 พฤษภาคม 2565 และกำหนดจ่ายในวันที่ 18 พฤษภาคม 2565