"การบินไทย"รอดตาย 5 แบงก์ปล่อยสินเชื่อใหม่2.5หมื่นล้าน รัฐยันถือหุ้น40%

28 ก.พ. 2565 | 05:06 น.
อัปเดตล่าสุด :03 มี.ค. 2565 | 14:23 น.

การบินไทย รอดตาย 5 ธนาคารพร้อมปล่อยสินเชื่อใหม่ 2.5หมื่นล้านบาท คาดเซ็นสัญญาสิ้นมีนาคมนี้ ด้านกระทรวงการคลัง ยันให้ภาครัฐคงการถือหุ้นในการบินไทยผ่านหน่วยงานภาครัฐอย่างน้อย40% ทั้งแจงผลประกอบการปี2564 กำไรพุ่ง 55,113 ล้านบาท

นายปิยสวัสดิ์   อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) เผยว่า การจัดหาสินเชื่อใหม่ ของการบินไทย ปัจจุบันมี 5 สถาบันการเงินเจ้าหนี้ แสดงความจำนงปล่อยสินเชื่อใหม่ ให้การบินไทย  2.5 หมื่นล้านบาท ได้แก่

 

  • ธนาคารกรุงเทพ
  • ธนาคารออมสิน
  • ธนาคารกรุงไทย  
  • ธนาคารกสิกรไทย
  • ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(เอ็กซิม แบงก์)         

 

โดยมีธนาคารกรุงเทพเป็นอันเดอร์ไรเตอร์ คาดว่าจะดำเนินการเซ็นสัญญาได้ภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ 

 

ทั้งนี้การได้รับสินเชื่อใหม่จากสถาบันการเงินถือว่าเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจของการบินไทยภายใต้ แผนฟื้นฟูกิจการ ลดลงจากเดิมที่การบินไทยมีความต้องการสินเชื่อใหม่ 5 หมื่นล้านบาท  ซึ่งเป็นเงินกู้จากเจ้าหนี้สถาบันการเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และสินเชื่อใหม่จากเจ้าหนี้ภาครัฐ 2.5หมื่นล้านบาท เนื่องจากการบินไทยลดค่าใช้จ่ายต่างๆได้เป็นอย่างดี

"ในขณะนี้ทางกระทรวงการคลังแจ้งแก่การบินไทยว่า รัฐจะไม่ใส่เงินกู้ใหม่เข้ามา แต่อาจจะมีการดำเนินการดำเนินการในเรื่องอื่นๆต่อไปในอนาคต เพื่อให้ภาครัฐยังคงถือหุ้นอยู่ในการบินไทยอย่างน้อย40% เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการถือหุ้น โดยกระทรวงการคลัง อาจจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลง แต่ก็มีธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และกองทุนวายุภักษ์ ถือหุ้นเพิ่มขึ้น"

 

ทั้งนี้ธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทยก็เป็นผู้ปล่อยสินเชื่อใหม่ให้การบินไทยด้วยก็สามารถใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนได้ รวมไปถึงการดำเนินการปรับโครงสร้างทุนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งภาครัฐก็จะคงการถือหุ้นในการบินไทยได้อย่างน้อย40%ตามที่กระทรวงการคลังต้องการ

 

สำหรับเงินที่จากสินเชื่อใหม่2.5หมื่นล้านบาทที่ได้รับจาก5ธนาคารดังกล่าวหลักๆจะนำมาใช้จ่ายค่าชดเชยพนักงานที่ออกไป ที่ยังเหลือค้างจ่ายจนถึงปลายปีนี้อีกราว4พันกว่าล้านบาท การคืนค่าตั๋วเครื่องบินอีกราว1หมื่นล้านบาท และใช้เป็นเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะเครดิตไลน์ทางการค้า

อย่างไรก็ตามจากความต้องการสินเชื่อใหม่ที่ลดลง ทำให้การบินไทยต้องเตรียมปรับปรุงแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการอีกครั้ง โดยปรับลดการหาแหล่งเงินใหม่เหลือ2.5หมื่นล้านบาท

 

การปรับปรุงสาระสำคัญเรื่องโครงสร้างสินเชื่อใหม่ที่ไม่ก่อภาระต่อภาครัฐในการสนับสนุน และการปรับโครงสร้างทุนซึ่งจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมาเป็นบวกได้เร็วขึ้น โดย บริษัทฯ จะยื่นการแก้ไขแผนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามขั้นตอนของกฎหมายตามลำดับต่อไป

 

ด้านนายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัทการบินไทยจำกัด(มหาชน)กล่าวว่า การขอสินเชื่อใหม่จาก 5 ธนาคารดังกล่าว การบินไทยจะใช้อสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศรวมถึงสำนักงานใหญ่ของการบินไทย รวมถึงเครื่องบินที่การบินไทยเป็นเจ้าของ45ลำอะไหล่ มูลค่าสินทรัพย์ค้ำประกัน3หมื่นล้านบาท เป็นเงินกู้ระยะกลาง5-10ปี

 

สำหรับ ผลการดำเนินงานของการบินไทยสำหรับปีสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2564 เดินหน้าหาสินเชื่อใหม่ ปรับโครงสร้างทุน ลดภาระภาครัฐ สร้างรายได้เพิ่มต่อเนื่อง

 

โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2564 โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยขาดทุนจากการดำเนินงานไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 19,702 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากปีก่อน 15,712 ล้านบาท (44.4%) มีรายได้รวมทั้งสิ้น 23,747 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 24,684 ล้านบาท หรือ 51% สืบเนื่องจากรายได้ จากการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าลดลง 24,599 ล้านบาท (59.9%) และรายได้จากบริการอื่นๆ ลดลง 1,545 ล้านบาท

 

แต่มีรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 1,460 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการรับรู้รายได้ที่เกิดจากข้อตกลงระงับข้อพิพาทเรียกร้องค่าเสียหายที่เกี่ยวข้องกับการชำรุดของเครื่องยนต์ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวม 43,449 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 40,396 ล้านบาท (48.2%) เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามปริมาณการผลิตและปริมาณการขนส่งที่ลดลง ตลอดจนการดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูกิจการและปฏิรูปธุรกิจ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยรายได้ที่สูญเสียไป จากการที่ไม่สามารถทำการบินได้ตามปกติ 

 

\"การบินไทย\"รอดตาย 5 แบงก์ปล่อยสินเชื่อใหม่2.5หมื่นล้าน รัฐยันถือหุ้น40%

 

โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิ เป็นรายได้จำนวน 81,525 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ การขายทรัพย์สินและเงินลงทุน การปรับโครงสร้างและขนาดองค์กร เป็นต้น ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 จำนวน 55,113 ล้านบาท

 

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 161,219 ล้านบาท ลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2563 จำนวน 48,078 ล้านบาท (23%) หนี้สินรวม 232,470 ลดลงจากวันที่ 31 ธันวาคม 2563 จำนวน 105,492 ล้านบาท (31.2%) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ติดลบจำนวน 71,251 ล้านบาท ติดลบลดลงจากวันที่31 ธันวาคม 2563 จำนวน 57,414 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2564 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ

 

ทั้งนี้ประเทศต่างๆ ในยุโรปเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศเมื่อปลายปี 2564 และเมื่อรัฐบาลไทยได้กำหนดมาตรการ Test and Go ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 จึงส่งผลให้บริษัทฯ มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยรวมต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 311 คนในเดือนตุลาคมเป็น 1,067 และ 2,559 คน ในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม 2564 ตามลำดับ 

 

ในขณะเดียวกันมาตรการผ่อนคลายในประเทศก็ทำให้จำนวนผู้โดยสารในเส้นทางภายในประเทศของสายการบินไทยสมายล์ เพิ่มขึ้นมากจาก 2,623 คนต่อวัน ในเดือนกันยายน 2564 เป็น 9,536 คนต่อวัน ในเดือนธันวาคม 2564 แม้ว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นมาก แต่จำนวนผู้โดยสารของการบินไทยและไทยสมายล์รวมกันก็อยู่ระดับ เพียงร้อยละ 20 เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้โดยสารในช่วงเวลาที่บริษัทฯ สามารถให้บริการตามปกติ 

 

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอมิครอนที่ทวีความรุนแรงขึ้นส่งผลให้ภาครัฐยกระดับมาตรการควบคุมฯ โดยการยกเลิกมาตรการ Test and Go ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2564 ทำให้จำนวนผู้โดยสารต่อวันของบริษัทฯ ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2565 ลดลงกว่าร้อยละ 20 จากในเดือนธันวาคม 2564

 

อย่างไรก็ดี การที่ภาครัฐนำมาตรการ Test and Go มาใช้อีกครั้งหนึ่ง และประเทศปลายทาง อาทิ เยอรมนี อังกฤษ สวีเดน เดนมาร์ก ออสเตรเลีย เนปาล ฯลฯ ได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเดินทาง นับเป็นสัญญาณดีที่ทำให้ความต้องการเดินทางเริ่มกลับมาปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง 

 

บริษัทฯจึงมีแผนเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางต่างๆ อาทิ ลอนดอน แฟรงก์เฟิร์ต โคเปนเฮเกน ซูริก สิงคโปร์ และกัวลาลัมเปอร์ และเปิดให้บริการสู่จุดหมายปลายทางใหม่เพิ่มเติม อาทิ เมลเบิร์นในประเทศออสเตรเลีย และจุดหมายปลายทางในประเทศอินเดีย ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 นี้เป็นต้นไป 

 

ในขณะที่สายการบินไทยสมายล์ ได้เปิดให้บริการในเส้นทางร้อยเอ็ดและตรังจากสนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งเปิดให้บริการจากสนามบินดอนเมืองไปยังเชียงใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์นี้  

 

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพการหารายได้ด้านการขนส่งสินค้าและไปรษณียภัณฑ์และบริการคลังสินค้า ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สร้างรายได้หลักแก่บริษัทฯ ในช่วงที่การขนส่งผู้โดยสารยังมีข้อจำกัดจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านมา มีการเติบโตด้านรายได้อย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้รวมกว่า 10,000 ล้านบาท หรือเกือบร้อยละ 50 ของรายได้รวมของบริษัทฯ ในปี 2564 ที่ผ่านมา