การปิดดีลร่วมลงทุนระหว่าง นายฉางเผิง จ้าว ซีอีโอ ไบแนนซ์ (Binance) กับ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ซีอีโอ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เมื่อวันที่ 13 เม.ย.2565 ที่ผ่านมา ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นประกาศความพร้อมที่ GULF จะรุกสู่ธุรกิจดิจิทัล (Digital Business) อย่างเต็มตัว จากปัจจุบันที่เป็นผู้นำธุรกิจไฟฟ้า
โครงสร้างธุรกิจ GULF ประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
1.ธุรกิจพลังงาน (Energy Business) ประกอบด้วย
2.ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค
(Infrastructure & Utilities Business)
3.ธุรกิจดิจิทัล (Digital Business)
โดยโครงสร้างรายได้ของ GULF ในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการดำเนินธุรกิจ 52,870 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 47.4% จากปี 2563 และมีกำไรสุทธิ 7,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.1% โดยเป็นรายได้ที่มาจาก "ธุรกิจพลังงาน" ถึง 46,831 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 88.6% ของรายได้รวมทั้งปี แยกเป็น
คลิกอ่านเพิ่ม : คำอธิบายและการวิเคราะห์ผลดำเนินงานของฝ่ายจัดการ
ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคอยู่ที่ 163 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.3% ของรายได้รวม
ขณะที่ธุรกิจด้านดิจิทัล จากการที่ GULF เข้าลงทุน บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) โดยถือหุ้นใหญ่ 35% เพื่อไปสู่เป้าหมายการขยายธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล พบว่าในปี 2564 GULF มีรายได้จากส่วนนี้ถึง 3,454 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6.53% ของรายได้รวม เทียบปี 2563 ที่มีรายได้จากส่วนนี้เพียง 440 ล้านบาท โดยเป็น
ร่วมทุน Binance รุกตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
อย่างไรก็ดีจากการลงนามข้อตกลงร่วมทุนระหว่าง Binance กับ GULF เมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรายได้ธุรกิจของ GULF นับจากนี้อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะรายได้จาก"ธุรกิจดิจิทัล"
สาระสำคัญการร่วมทุน GULF - กลุ่ม Binance
1.จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อดำเนินธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย โดย GULFได้ส่งบริษัทย่อยคือ บจก.กัลฟ์ อินโนวา (Gulf Innova) ลงนามร่วมทุนกับ Binance Capital Management Co., Ltd. (Binance Capital Management) ในสัดส่วน 51:49 ตามลำดับ
2.ส่งบริษัทย่อยคือ" Gulf International Investment Limited" ( GULFถือหุ้นในสัดส่วน100%) เข้าลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล BNB มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลหลัก (Native Coin) ของระบบนิเวศน์ทางธุรกิจของ Binance (BNB Chain Ecosystem) ใช้เป็น Utility Token เพื่อใช้งานแอปพลิเคชันที่อยู่บน BNB Chain ซึ่งนับเป็นบล็อกเชนที่ใหญ่ที่สุดของโลกตามจำนวนผู้ใช้งาน (Active Users)
3.ร่วมทุนใน"Binance.US" รุกธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐฯ โดยส่ง Gulf International Investment (Hong Kong) Limited ( Gulf HK) (บริษัทย่อยที่ GULF ถือหุ้น100%) เข้าลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ์ใหม่ (Series Seed Preferred Stock) ที่ออกโดย BAM Trading Services Inc. ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อ Binance.US โดย Gulf HK เข้าลงทุนรวม 20 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินระดมทุนทั้งหมดจำนวน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 0.4% ของมูลค่ารวมของ Binance.US ก่อนเพิ่มทุนทั้งสิ้นเป็นจำนวน 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
"การลงทุนใน Binance.US จะเป็นการเปิดโอกาสให้ GULF มีส่วนร่วมในธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีจำนวนผู้ใช้งานเติบโตเร็วที่สุดในโลก และยังสามารถรับรู้มูลค่าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นภายหลังจากที่ Binance.US เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย
ปัจจุบัน Binance.US ได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 45 รัฐและ 7 ดินแดน และมีเป้าหมายที่จะเปิดให้บริการทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2565 " หนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์ ระบุ
ดันรายได้จากธุรกิจดิจิทัลขยับเป็น 15%
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ( GULF) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า หลังจาก บจก.กัลฟ์ อินโนวา ได้ลงนามร่วมทุนกับกลุ่ม Binance คาดว่าจะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนได้ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ จากนั้นจะขอใบอนุญาต (ไลเซ่นส์)ในการประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) และแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งจะใช้ระยะเวลาราว 3-5 เดือนในการดำเนินการ
ขณะที่โครงสร้างรายได้ธุรกิจ หลังจากที่ GULF ร่วมทุนกับกลุ่ม Binance ช่วง 3 -5 ปีนับจากนี้ จะเปลี่ยนแปลงดังนี้
โดย GULF นอกจากจะมีรายได้จากการที่ร่วมทุนกับ Binance แล้วในส่วนของธุรกิจดิจิทัล GULF ยังมีโครงการลงทุนใน บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) เพื่อขยายจากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ไปยังธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล คาดว่าจะรับรู้กำไรจาก INTUCH ประมาณปีละ 4.5 -5 พันล้านบาทต่อปี
สำหรับภาพรวมผลประกอบการของบริษัทในปี 2565 ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ราว 60% หรือ 8.4 หมื่นล้านบาท จากปี 2564 ที่มีรายได้ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท