คดีกงสีหรือธุรกิจของ ตระกูล โตทับเที่ยง นับเป็นคดีที่สาธารณชนให้ความสนใจอย่างมากเนื่องจากมีธุรกิจหลายอย่างในมือรวมแล้วกว่า 19 บริษัทและที่ดินอีกหลายแปลง จุดเริ่มต้นของคดีกงสีนี้เกิดขึ้นเมื่อ "นายสุธรรม โตทับเที่ยง" พี่ใหญ่ของตระกูลได้ออกมาประกาศไม่ให้ “นายสุรินทร์ โตทับเที่ยง” ใช้นามสกุล "โตทับเที่ยง" โดยอ้างว่ากระทำการที่เป็นปฏิปักษ์กับพี่น้อง
โดยปลดพี่น้องในตระกูลทุกคนออกจากการเป็นกรรมการของ บริษัท กว้างโฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทกงสีของพี่น้อง ที่ถือหุ้นในบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหาร กว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ปุ้มปุ้ย’ เมื่อ 21 มิ.ย.57
พร้อมกับยื่นฟ้อง นายสุรินทร์ โตทับเที่ยง (จำเลย) และพวกรวม 6 คน ซึ่งณ ขณะนั้นถือแทนสินทรัพย์ของครอบครัวประกอบด้วยหุ้นใน 21 บริษัทและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของกงสีศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จําเลยทั้ง 5 คน ที่ถือกรรมสิทธิ์ในหุ้นไว้แทนโอนหุ้นในบริษัท รวม19 บริษัทให้แก่โจทก์ทั้ง4 คน และจําเลยที่ 1 คนละ 1 ส่วนใน 10 ส่วน ของหุ้นในแต่ละ บริษัท
และให้โอนที่ดินที่จําเลยทั้ง 5 คน ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนให้แก่พี่น้องในตระกูลโตทับเที่ยงทั้ง 10 คน คนละ 1 ส่วนใน 10 ส่วนเมื่อวันที่ 20มีนาคม 2561
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2562 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาแก้ไขบางส่วนเกี่ยวกับที่ดินของบริษัทกงสี โดยระบุว่าถึงแม้ที่ดินดังกล่าวจะนําเงินของบริษัทกงสีมาซื้อโดยใส่ชื่อจำเลยแทนบริษัทกงสี แต่บริษัทกงสีเจ้าของเงินไม่ได้ร่วมฟ้องมาด้วย จึงให้ยกคําขอที่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้ง4และจําเลยที่1มาแบ่งกันคนละ 1ใน 10ส่วน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2565 ศาลฎีกา ได้พิพากษายืนตามคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนของหุ้นในบริษัททั้ง 19บริษัท โดยให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น และในส่วนของที่ดินให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยศาลฎีกาได้พิพากษายืนสรุปผลของคําพิพากษาดังกล่าว ศาลฟังว่าหุ้นทั้ง19บริษัท ตลอดจนที่ดินและ สิ่งปลูกสร้าง เป็นกรรมสิทธิ์รวมของธุรกิจครอบครัวหรือกงสีตระกูลโตทับเที่ยง
นายสุธรรม โตทับเที่ยง พร้อมด้วยเหล่าพี่น้องตระกูล “โตทับเที่ยง พร้อมด้วยทนาย เปิดเผยหลังคดีมีคําพิพากษาศาลฎีกาถือว่าคดีถึงที่สุด ว่าหลังจากนี้ทางทนายความจะดำเนินการส่งหนังสือเรียนเชิญนายสุรินทร์ให้เข้ามาร่วมประชุมเพราะระหว่างที่เกิดความขัดแย้งและมีการดำเนินในขั้นศาล หลายๆบริษัทได้รับผลกระทบภาพลักษณ์เสียหาย ในขณะเดียวกันที่ดินหลายแปลงที่ศาลมีคำวินิจฉัยแต่บริษัทกงสีไม่ได้ยื่นฟ้องเข้าไปด้วย อาจจะตกลงกันได้โดยไม่ต้องไปยื่นฟ้องใหม่ เพราะตามคำวินิจฉัยที่ดินนั้นตกเป็นของกงสีแล้วถึงแม้ว่าจะมีชื่อของจำเลยก็ตาม
“ศาลได้พิจารณาสรุปจบเรื่องราว “โตทับเที่ยง” ซึ่งผมขอใช้คำว่าไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ ทุกคนชนะหมดด้วยความเป็นธรรม ทุกคนไม่มีใครเสียแต่ได้ในสิ่งที่เป็นของตัวเอง หลังจากนี้ก็จะดำเนินการตามเจตนาที่ศาลพิพากษามา ก็คือการแบ่งหุ้น แบ่งที่ดินต่างๆตามสัดส่วนของพี่น้อง 10 คน”
นอกจากผลคดีที่เป็นที่สนใจแล้ว การดำเนินธุรกิจของพี่น้องตระกูลโตทับเที่ยงหลังจากนี้ก็นับว่าน่าติดตามไม่แพ้กัน โดยสุธรรมฉายภาพอาณาจักรธุรกิจโตทับเที่ยงว่า core business หลักของ โตทับเที่ยง ประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ ปุ้มปุ้ยซึ่งเป็นกิจการที่อยู่ในกรุงเทพฯ โรงแรม 2 แห่งในจังหวัดตรังได้แก่ โรงแรมธรรมรินทร์ 120 ห้องและโรงแรมธรรมรินทร์ ธนา 280 ห้อง และที่ดินในสำนวนคดีซึ่งหลายแปลงอยู่ระหว่างการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ในcore businessทั้ง 3 ส่วนนี้ ปุ้มปุ้ย นับว่าเป็นธุรกิจที่สร้างชื่อให้กับ “โตทับเที่ยง” อย่างมาก และหลายฝ่ายให้ความสนใจว่าหลังจากนี้ทางเดินของ ปุ้มปุ้ย จะเป็นอย่างไรต่อไปเนื่องจากเดิมอยู่ภายใต้การบริหารของ “นายสุรินทร์ โตทับเที่ยง” ซึ่งเมื่อคดีอยู่ในชั้นศาล นายสุรินทร์ พร้อมด้วยผู้บริหารปุ้มปุ้ย ได้ลาออกหมดทุกตำแหน่งทั้งในรูปแบบของเกษียณและลาออกโดยพร้อมกัน ส่งผลให้ธุรกิจ ปุ้มปุ้ย กลับเข้ามาอยู่ภายใต้การบริหารของ นายสุธรรมและพี่น้องฝ่ายโจทย์อีกครั้ง
และอีกประเด็นที่ร้อนแรงไม่แพ้กันคือ บทบาทของสุรินทร์ ในธุรกิจกงสี “โตทับเที่ยง” ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งหลังจากคำพิพากษาศาลฎีกาถึงที่สิ้นสุดแล้วจำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน ทั้งนี้นายสุธรรมพร้อมทนายเห็นพ้องต้องกันว่า “ไม่เห็นด้วย” ที่จะออกคำบังคับกับนายสุรินทร์
“เราต่อสู้กันมานานความรู้สึกระหว่างพี่กับน้องมันหายไปมาก เราต้องการที่จะสมานฉันท์ หลังจากนี้เราจะทำหนังสือเชิญเข้ามาพูดคุยกันเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลฎีกา หารือว่าหลังจากนี้จะปฏิบัติกันอย่างไรเพราะทุกบริษัท ทุกที่ดินคุณสุรินทร์ก็มี 1 ส่วน ในส่วนของการบริหารธุรกิจนั้น ก่อนหน้านี้เราทำงานโดยที่ว่าใครถนัดทางไหนทำทางนั้น ส่วนจะมีการเชิญคนสุรินทร์เข้ามาร่วมบริหารหรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบแทนคุณสุรินทร์ได้เพราะการบริหารตามขั้นตอนหรือตามระเบียบเขาลาออกไปแล้วถูกต้องตามกฎระเบียบ
หลังจากนี้เราก็ต้องดูว่าคนของเรามีความพร้อมหรือไม่ ถ้ามีความพร้อมแล้วก็ทำต่อได้ แต่ถ้าขาดเหลือตรงไหนเราก็ต้องหาคนเพิ่มแต่เราก็มองคนใกล้ตัวก่อน ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าบางอย่างจะต้องรอดูสถานการณ์”