‘บมจ. เซ็ปเป้’ หรือ SAPPE ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 ทำนิวไฮ มีรายได้รวม 1,142.7 ล้านบาท (+47.9% Y-Y, +27.6% Q-Q) และมีกำไรสุทธิ 156.2 ล้านบาท (+83.7% Y-Y, +174.0% Q-Q) ถือเป็นไตรมาสที่มีผลการดำเนินงานทั้งรายได้และกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) โดยการเติบโตดังกล่าวมาจากการขยายตัวของตลาดต่างประเทศเป็นหลัก
โดยกลุ่มประเทศในทวีปยุโรปมีการเติบโตสูงถึง 136%, ทวีปเอเซียเติบโต 77% และตะวันออกกลางเติบโต 58% โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าเข้าสู่ช่องทางห้างค้าปลีกในหลายประเทศหลักของทวีปยุโรปได้ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับครอบคลุมถึงผู้บริโภควงกว้างขึ้นอย่างมาก
นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่าปีนี้เห็นสัญญาณการบริโภคฟื้นตัวอย่างชัดเจนในทวีปเอเชียและตะวันออกกลาง ทำให้มียอดคำสั่งซื้อภาพรวมในทุกภูมิภาคดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดต่างประเทศได้แก่ เครื่องดื่มผสมวุ้นมะพร้าวแบรนด์ โมกุ โมกุ (Mogu Mogu) และเครื่องดื่มผสมว่านหางจระเข้ เซ็ปเป้ อโลเวร่า ดริ้งค์
คาดว่ายอดขายในปีนี้จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากฤดูกาลขายของบริษัทฯ (Seasonal) ปกติจะอยู่ที่ไตรมาส 2 และ 3 ส่งผลให้ประมาณการยอดขายต่างประเทศทั้งปีคาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์ราคาค่าระวางการขนส่งสินค้าที่ยังคงสูงอยู่
สำหรับตลาดในประเทศ เนื่องจากข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตที่ต้องรองรับการขยายตัวของต่างประเทศ ส่งผลให้มีการปรับแผนการทำงานและงบประมาณบางส่วนไปลงทุนในตลาดต่างประเทศ บริษัทฯ จึงยังไม่ได้เห็นการออกสินค้า, กิจกรรมทางการตลาดใหม่ๆ หรือการเติบโตของตลาดในประเทศไตรมาสนี้ โดยยังคงมีแผนที่จะเริ่มทยอยออกสินค้าใหม่และทำการตลาด O2O (Online to Offline Marketing) ทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป
บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้เติบโต 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,712.77 ล้านบาท พร้อมปรับกลยุทธ์ NPD โดยลดจำนวน SKUs สำหรับสินค้าในประเทศลง แต่เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อขยายสู่เครือข่ายช่องทางการขายที่บริษัทฯ ทำตลาดไว้กว่า 90 ประเทศในปีต่อๆ ไป
“ตลาดส่งออกของเรามีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาก เราไม่ได้แปลกใจที่ตลาดใหญ่ในปัจจุบันของ Sappe อย่างทวีปเอเชียหรือภูมิภาคตะวันออกกลางเติบโตได้ดี เนื่องจากเราทำตลาดมานานและเห็นแนวโน้มที่เป็นบวกตั้งแต่ปลายปี 2564
แต่การที่สินค้าของเราสามารถเข้าห้างค้าปลีกช่องทางหลักในยุโรปได้ เติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีคำสั่งซื้อซ้ำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าสินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีแม้แต่กับคนยุโรปเองก็ยังชื่นชอบ เราจึงเชื่อว่านี่เป็นหลักไมล์สำคัญของเราอีกก้าวหนึ่ง ที่จะนำ แบรนด์ของคนไทยไปสู่ Global Brand อย่างแข็งแรงและยั่งยืนในทุกๆ ทวีปทั่วโลก”