เบทาโกรเดินหน้าตอกย้ำเสริมแกร่งในการเป็นผู้ให้บริการด้านอาหารเต็มรูปแบบ (Food Service Solution) พร้อมเปิดเกมรุกกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและโปรตีนตลอดระบบห่วงโซ่อุปทาน ชูจุดเด่นของ Smart Quality ในการเสริมสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ ภายใต้มาตรฐาน BQM ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคต การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ และ Smart CRM ให้บริการคำปรึกษา เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมและสร้างความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืน
นายไตรรัตน์ ทองปลอด ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจโปรตีน บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จการขยายตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและโปรตีนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงเดินหน้าต่อยอด โดยมุ่งเสริมสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity)
สำหรับการผลิตสุกร ไก่ ไข่ไก่ และปลา การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ภายใต้ระบบจัดการมาตรฐาน (Betagro Quality Management: BQM) รวมถึงได้พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับอิเล็กทรอนิกส์ของเบทาโกร (Betagro e-Traceability) จากคิวอาร์โค้ดบนฉลากของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้มั่นใจในผลิตภัณฑ์คุณภาพพรีเมียม และมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารสูงสุดของบริษัทฯ ได้มากยิ่งขึ้น
ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายส่วนแบ่งทางการตลาดผลิตภัณฑ์อาหารจากเนื้อหมู ด้วยการขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อหมูในกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน จากการเพิ่มจำนวนฟาร์มสุกร เพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์เนื้อหมู S-Pure แบรนด์พรีเมียม ซึ่งมีกระบวนการเลี้ยงแบบธรรมชาติ 100% โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดง และไม่ใช้สารเร่งการเจริญเติบโต รวมถึงเพิ่มฟาร์มสุกรพันธุ์ (ทวดพันธุ์และปู่ย่าพันธุ์) และฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์ เพื่อสนับสนุนกระบวนการผลิตสุกร ซึ่งสอดคล้องกับแผนการสร้างฟาร์มและโรงชำแหละแห่งใหม่ เพื่อขยายกำลังการผลิตสุกรเป็นประมาณ 4.8 ล้านตัวต่อปีภายในปี 2569
“บริษัทฯ ยังได้มีการพัฒนานวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต ประเภทโปรตีนทางเลือกจากพืช (Alternative Protein) เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ให้ความสนใจกับการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และต้องการผลิตภัณฑ์ ทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น”
ด้านการจัดจำหน่าย บริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มช่องทางในการจัดจำหน่ายผ่านธุรกิจค้าปลีกแบบสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มการรับรู้ของผู้บริโภคในซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ด้วยบริการฝากขายเนื้อหมูสด (consignment) และการขยายร้านเนื้อสัตว์อนามัยในประเทศไทยเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากการวางจำหน่ายที่สาขาเบทาโกร ร้านเบทาโกรช็อป (Betagro Shop) สำหรับลูกค้ากลุ่ม B2B และร้านเบทาโกรเดลี (Betagro Deli) ร้านเนื้อสัตว์อนามัยซึ่งดำเนินการโดยบุคคลภายนอก สำหรับลูกค้ากลุ่ม B2C รวมถึงช่องทางอีคอมเมิร์ซ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เดินหน้ารุกฐานลูกค้าธุรกิจ-B2B ด้วย Smart-CRM ยกระดับความเป็นพันธมิตรกับกลุ่มผู้ให้บริการด้านอาหาร (Food service) ผ่านแพลตฟอร์มดิจิตัล ด้วยบริการส่งเสริมการขายโดยทีมการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management: CRM) และการตอบโจทย์ที่ครอบคลุมด้านอาหาร (food solution) ตามโครงการ "Food Service Solution" แบบครบวงจร (one-stop full service) ซึ่งเป็นโครงการฝึกอบรมด้านความรู้แก่ลูกค้ากลุ่ม B2B เพื่อให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการด้านโลจิสติกส์
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 เบทาโกรมีฟาร์มซัพพลายวัตถุดิบในประเทศไทยรวม 4,829 แห่ง อยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทเองจำนวน 61 แห่ง และเป็นฟาร์มเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) จำนวน 4,768 แห่ง ผ่านกระบวนการผลิตมาเป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์หลักของเบทาโกร ซึ่งประกอบด้วย "BETAGRO" "S-Pure" และ "ITOHAM" ซึ่งล้วนได้รับการพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่ต้องการช่วยให้ประชาชนและชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยการส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยที่มากขึ้น ในราคาที่เป็นธรรม ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของสาขาเบทาโกร รวมจำนวน 97 แห่ง ร้านเบทาโกรช็อป 207 แห่ง ร้านเบทาโกรเดลี 29 แห่ง ร้านเนื้อสัตว์อนามัย 710 แห่ง และซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ ครอบคลุมทุกภูมิภาคและเมืองหลักในประเทศไทย