เศรษฐกิจไทย: จากวิกฤตต้มยำกุ้งสู่ภาวะ “ป่วยเรื้อรัง”

02 ก.ค. 2567 | 02:09 น.

ครบรอบ 27 ปีวิกฤตต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความท้าทาย แม้จะไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤตเฉกเช่นปี 2540 แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็น่าวิตกไม่น้อย

27 ปี วิกฤตต้มยำกุ้ง: บทเรียนราคาแพงที่ไทยต้องจดจำ

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต หนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังการแก้ไขปัญหาในครั้งนั้น ได้ให้สัมภาษณ์ย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญและบทเรียนที่ได้รับ

จุดเริ่มต้นของวิกฤติเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เมื่อประเทศไทยต้องยอมแพ้ต่อแรงกดดันจากตลาดและประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ส่งผลให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจ ธนาคารและสถาบันการเงินล้มละลาย หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) พุ่งสูง ธุรกิจจำนวนมากต้องปิดตัวลง และมีคนตกงานเป็นจำนวนมาก

ดร.เอกนิติกล่าวว่า "วิกฤติเศรษฐกิจปี 40 เป็นวิกฤติที่ไม่ควรลืม และรุนแรงมาก" โดยระบุว่าต้นตอของวิกฤติมาจาก "กรรมเก่า" ก่อนปี 2540 ที่ประเทศทำไม่ดีหลายปีติดต่อกัน ทั้งขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง ปล่อยสินเชื่อไม่ระมัดระวัง จนกลายเป็น NPL สูง ส่งผลให้ระบบธนาคารเสียหาย และทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง

รัฐบาลไทยต้องเข้าโครงการกู้เงินจาก IMF และออกมาตรการ 14 สิงหาคม เพื่อฟื้นฟูสถาบันการเงิน นอกจากนี้ยังมีการปิดสถาบันการเงิน 58 แห่ง จัดตั้งองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) และบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) เพื่อจัดการกับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ

ดร.เอกนิติยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากวิกฤติครั้งนี้ โดยกล่าวว่า "บทเรียนจากวิกฤติครั้งนั้นนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการเงินไทย" ซึ่งรวมถึงการเพิ่มความโปร่งใสในการรายงานทุนสำรองระหว่างประเทศ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบธนาคาร และการรักษาระดับทุนสำรองระหว่างประเทศให้สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น

อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ 27 ปีวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เพิ่มเติมได้จากหัวข้อด้านล่าง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะมีภูมิคุ้มกันทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังมีความท้าทายใหม่ที่ต้องเผชิญ เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม

ดร.เอกนิติทิ้งท้ายว่า "นักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ต้องช่วยชี้ให้เห็นปัญหาระยะยาวและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง" พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะแรงงานและการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต

27 ปีผ่านไป บทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้งยังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการบริหารเศรษฐกิจอย่างรอบคอบและการเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในโลกที่ผันผวนมากขึ้น

เศรษฐกิจไทย: จากวิกฤตต้มยำกุ้งสู่ภาวะ “ป่วยเรื้อรัง”

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าในตลาดหุ้น ให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ” ในโอกาสครบรอบ 27 ปีวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ว่า เศรษฐกิจไทยก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 เติบโตร้อนแรงเกินไปจนเกิดภาวะฟองสบู่แตก รัฐบาลเองก็บริหารผิดพลาดที่เปิดเสรีการเงินแต่กลับตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ 

วิกฤตครั้งนั้นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็ว เพราะมีความสามารถในการแข่งขันค่อนข้างดี เป็นเศรษฐกิจที่โครงสร้างประชากรเป็นคนหนุ่ม ขณะที่ประเทศคู่แข่งรอบบ้านยังน้อย บางประเทศยังไม่เปิด เทียบกับวันนี้ เราเป็นสังคมสูงวัย เด็กเกิดใหม่ที่จะเป็นพลังในอนาคตมีน้อยและโตไม่ทัน หากจะสร้างให้เศรษฐกิจเติบโตในระดับ 5% และเวทีเวลานี้ก็เต็มไปด้วยคู่แข่งขัน

"การจะพูดว่า รอบนี้เป็นวิกฤตยังไม่ชัดเจน แต่อาการประเทศไทยเวลานี้ เหมือนคนเจ็บป่วยเรื้อรัง ตับไตค่อยๆ เสื่อม สถานการณ์ตลาดหุ้นก็ ทรงๆ ทรุดๆ ไม่ได้ตกร่วงรุนแรง แต่ไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไร ไม่รู้ว่าจะสู้หรือผลิตสินค้าแข่งขันกับประเทศอื่นได้อย่างไร เพราะเราเป็นสังคมคนแก่ ดังนั้นโอกาสจากนี้ การจะสู้แข่งขัน ผมกลับมองว่ายากกว่าช่วงที่ฟื้นจากวิกฤตการเงินปี 2540 มาใหม่ๆ เพราะล้มอย่างไร ประเทศไทยช่วงนั้นก็ยังเป็นคนหนุ่มที่ฟื้นกลับมาง่ายและพร้อมจะสู้ต่อ แต่รอบนี้โจทย์คือจะทำอย่างไรที่จะปรับโครงสร้างให้เป็นคนหนุ่มแน่น พร้อมกลับมาสู้อีกครั้ง” ดร.นิเวศน์กล่าว 

ดร.นิเวศน์ ระบุว่า สิ่งที่น่าห่วงขณะนี้คือ หลายคนกลับมองว่า ปัญหาวันนี้เป็นเรื่องปกติ มองว่าไม่เป็นเรื่องด่วนที่จะต้องทำในทันทีทันใด หน่วยงานรัฐก็มอง เศรษฐกิจไทยไม่มีปัญหา ไม่ได้คิดว่าต้องเร่งแก้ปัญหา ทั้งๆที่คนเกิดน้อยไม่ทันกับสังคมคนแก่ ต้องเร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ทำให้ไม่มีใครเป็นเจ้าภาพที่จะเริ่มทำ ไม่เหมือนช่วงวิกฤตปี 2540  ที่มองว่าต้องรีบฟื้นเศรษฐกิจ

“ผมมองว่าเศรษฐกิจไทยวันนี้อย่างดีก็โตแค่ 2-3% และถ้าไม่ทำอะไรเลย ปัจจัยในการสร้างเศรษฐกิจเมื่อหมดไป เศรษฐกิจก็จะดิ่งไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราก็จะเหมือนเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ไม่โตเลย หรือโต 0%”

ด้านตลาดทุน โอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยวันนี้กลับไปเหลือ 200 กว่าจุดคงไม่เกิดขึ้น โดยหุ้นไทยที่ตกหนัก ไม่ได้เป็นหุ้นทั้งตลาด แต่เป็นหุ้นกลุ่มขนาดเล็ก ขนาดกลางที่ถูกปั่นขึ้นมา แต่ไม่ได้มีพลังมากขนาดจะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยในภาพรวม ขณะที่โอกาสการเติบโตของดัชนีโดยรวมมีจำกัด การคาดหวังว่าดัชนีจะกลับไปแตะระดับ 1,500 จุดในเร็ววันนี้อาจเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป

ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังมีความแข็งแกร่งและห่างไกลจากวิกฤตเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 แม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ในระดับต่ำและมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่น่ากังวล

นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มบริหารจัดการข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) มองว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยมีกันชนที่สำคัญคือทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงและดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังเป็นบวก อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน คือ ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ นายนริศยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนเพื่อส่งเสริมการเติบโต

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัยศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ประเทศไทยได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในช่วงวิกฤตปี 2540 ทำให้มีกลไกในการดูแลเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เช่น การมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีโจทย์ที่ท้าทาย เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการไหลออกของเงินทุน (Fund Flow)

ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ ผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตปี 2540 โดยเฉพาะในด้านทุนสำรองระหว่างประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัด และหนี้ต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ต้องระมัดระวัง คือ ศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำและความเปราะบางทางการคลังที่เพิ่มขึ้น

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ Head of Global Investment Strategy บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวขึ้นอย่างมากในช่วง 27 ปีที่ผ่านมา แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและปัญหาสังคมสูงวัย

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงนโยบายการเงินของไทย โดยเฉพาะการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวภายใต้การจัดการ ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญจากวิกฤตในอดีต และเน้นย้ำถึงความแข็งแกร่งของสถานะด้านต่างประเทศของไทยในปัจจุบัน

นักเศรษฐศาสตร์ ชี้คนไทยลืมบทเรียนต้มยำกุ้ง กลับสู่พฤติกรรมการเงินเสี่ยง

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยว่า พฤติกรรมการออมและการลงทุนของคนไทยหลังวิกฤตต้มยำกุ้งมีการเปลี่ยนแปลงเพียงระยะสั้น ก่อนจะกลับสู่พฤติกรรมเสี่ยงอีกครั้ง

"ในช่วงแรกหลังวิกฤต คนไทยระมัดระวังการใช้จ่ายและการลงทุนมากขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับมีแนวโน้มลืมบทเรียนราคาแพงครั้งนั้น" ดร.นณริฏกล่าว

ผลกระทบของวิกฤตต้มยำกุ้งส่งผลต่อพฤติกรรมครัวเรือนเพียงระยะสั้น โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมากขึ้น
แม้ว่ารัฐบาลได้วางรากฐานความเข้มแข็งของสถาบันการเงิน แต่ดร.นณริฏมองว่า การกลัวการกู้ยืมจากต่างประเทศและไม่สนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศอาจทำให้ไทยพลาดโอกาสการเติบโตระดับโลก

ปัจจุบัน แม้สถาบันการเงินไทยจะแข็งแกร่งขึ้น แต่พฤติกรรมการออมและการลงทุนของประชาชนกลับไม่สะท้อนถึงความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน

"พฤติกรรมคนต่างประเทศเมื่อเผชิญวิกฤติจะออมมากขึ้น กลัวความเสี่ยงมากขึ้น แต่ของไทยเห็นภาพนี้เพียงระยะสั้น แล้วกลับมาบริโภคมาก ก่อหนี้มาก ออมน้อยลง และกลับมาลงทุนแบบเสี่ยงอีกครั้ง" ดร.นณริฏกล่าวทิ้งท้าย

สถานการณ์นี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า บทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้งอาจถูกลืมเลือนไปแล้ว ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศในระยะยาว

"ถอดบทเรียน 27 ปี 'ลอยตัวค่าเงินบาท' - สภาพัฒน์ชี้ความท้าทายใหม่เศรษฐกิจไทย"

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้สัมภาษณ์พิเศษถึงบทเรียนสำคัญจากวิกฤตการณ์ลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อ 27 ปีก่อน พร้อมวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันและความท้าทายในอนาคต

ประเด็นสำคัญ :

  1. บทเรียนจากวิกฤต 2540: ต้นเหตุจากภาคการเงิน นำไปสู่การเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินและวินัยการคลัง
  2. ศักยภาพปัจจุบัน: ไทยมีเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง แต่ด้านการคลังเผชิญความท้าทายจากวิกฤตโควิด-19
  3. สัญญาณเตือนภัย: หนี้สิน ทั้งหนี้สาธารณะ หนี้ภาคธุรกิจ หนี้ SMEs และหนี้ครัวเรือน
  4. แนวทางรับมือ  : 
  • เร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและธุรกิจ
  • ปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะหนี้ที่อยู่อาศัย
  • สร้างรายได้ให้ครัวเรือนที่เป็นหนี้
  • ใช้นโยบายการคลังอย่างระมัดระวังและมีเป้าหมาย
  • เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ
  • ปรับระบบสวัสดิการให้ไม่ซ้ำซ้อน

นายดนุชาเน้นย้ำว่า การเตรียมพร้อมและไม่ประมาทเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยต้องรักษาความแข็งแกร่งทั้งด้านการเงินและการคลังควบคู่กันไป