ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เคยให้มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ MOU 44 ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในปัจจุบัน โดยได้อธิบายถึงข้อตกลงฉบับนี้ไว้อย่างน่าสนใจ ไว้ในจุลสารความมั่นคงศึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับที่ 93 ประจำเดือนพฤษภาคม 2554 เรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา : ทางเลือกและข้อเสนอแนะ
ดร.สุรเกียรติ์ชี้แจงว่า สังคมไทยจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับ MOU 44 ให้ถ่องแท้ก่อนที่จะตัดสินใจใดๆ โดยเฉพาะประเด็นที่มีการเรียกร้องให้ยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว โดยได้อธิบายสาระสำคัญไว้หลายประการ
ประการแรก MOU 44 เป็นเพียง "agreement to talk" หรือข้อตกลงที่กำหนดกรอบการเจรจาระหว่างสองประเทศ ไม่ใช่สนธิสัญญาที่กำหนดการแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยแต่อย่างใด กลไกสำคัญที่กำหนดไว้คือการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางด้านเทคนิค ซึ่งรัฐบาลทั้งสองฝ่ายสามารถแต่งตั้งและปรับปรุงองค์ประกอบได้ตามความเหมาะสม
อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศเน้นย้ำว่า การยกเลิก MOU 44 จะส่งผลเพียงการยกเลิกกลไกการเจรจาเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์จากน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนกลับคืนมาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่เคยมีข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์เกิดขึ้น
ที่สำคัญกว่านั้น การยกเลิก MOU อาจเป็นการละทิ้งผลประโยชน์ทางกฎหมายที่สำคัญของไทยหลายประการ เช่น:
1. การผูกโยงการเจรจาเรื่องผลประโยชน์จากปิโตรเลียมเข้ากับการปักปันเขตแดนทางทะเล ซึ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องพิจารณาทั้งสองประเด็นควบคู่กันไป ไม่สามารถเร่งรัดข้อตกลงเพียงเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าฝ่ายเดียว
2. การกำหนดจุดเริ่มต้นการลากเส้นแบ่งเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนที่ 73 ซึ่งเป็นจุดยืนสำคัญของไทย
3. การระบุว่าการเจรจาจะไม่กระทบสิทธิเรียกร้องทางทะเลใดๆ ที่ไทยมีอยู่เดิม
4. การได้รับการยอมรับเป็นลายลักษณ์อักษรจากกัมพูชาว่าไทยมีสิทธิเรียกร้องทางทะเล
5. การกำหนดให้การเจรจาเขตทางทะเลต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศทางเลือกที่ดีกว่าการยกเลิก MOU
ดร.สุรเกียรติ์เสนอว่า หากรัฐบาลไม่ประสงค์จะเดินหน้าการเจรจากับกัมพูชาในขณะนี้ สามารถทำได้โดยไม่เรียกประชุมคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค ซึ่งจะทำให้การเจรจาหยุดชะงักโดยธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องยกเลิก MOU ที่มีประโยชน์ต่อฝ่ายไทย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีเครื่องมือในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติหลายประการ เช่น:
อดีต รมต.ต่างประเทศ เตือนว่าหากมีการยกเลิก MOU 44 การเจรจาข้อตกลงใหม่ในอนาคตอาจทำให้ไทยเสียเปรียบได้ เนื่องจากกัมพูชาอาจพอใจที่หลุดพ้นจากพันธกรณีบางอย่างที่กำหนดไว้ใน MOU ฉบับนี้ ซึ่งที่ผ่านมาแม้กัมพูชาจะรู้สึกเสียเปรียบบ้าง แต่ก็ยอมเจรจาภายใต้กรอบดังกล่าวเพราะเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคต
ดร.สุรเกียรติ์ยืนยันว่า ไม่ได้คัดค้านการที่รัฐบาลไทยจะตอบโต้กรณีที่กัมพูชามีท่าทีไม่เหมาะสม แต่การตอบโต้นั้นต้องผ่านการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ต้องมีเหตุมีผล ไม่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง และที่สำคัญที่สุดคือต้องไม่ทำให้ไทยกลายเป็นฝ่ายเสียประโยชน์เสียเอง
"การต่างประเทศเป็นเรื่องของผลประโยชน์แห่งชาติ ไม่ใช่ผลประโยชน์ทางการเมือง" ดร.สุรเกียรติ์ย้ำว่า ความตกลงระหว่างประเทศจะทำขึ้นในสมัยใดไม่ใช่ประเด็นสำคัญ หากสาระของความตกลงนั้นก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน สะท้อนให้เห็นว่าการพิจารณาประเด็นระหว่างประเทศควรยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง มากกว่าการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศ